MENU

สตีเวน ยอน นักแสดงผู้ทลายภาพจำคนเอเชียในฮอลลีวูด

 25 ม.ค. 2567 00:00

จากหนุ่มตี๋ล่าซอมบี้ Glenn Rhee ในซีรีส์ฮิต “The Walking Dead” สู่นักแสดงเจ้าของบทหนุ่มหัวร้อน​​ Danny Cho ใน “Beef” ซีรีส์น้ำดีการันตีรางวัลมากมาย และส่งให้นักแสดงอเมริกันเชื้อสายเกาหลีคนนี้ เป็นที่หมายปองของเหล่าสตูดิโอดังทั่วฮอลลีวูด เรื่องราวของหนุ่มคนนี้จะเป็นมาอย่างไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “สตีเว่น ยอน” ให้มากขึ้นกัน


สตีเวน ยอน หรือชื่อในภาษาเกาหลีว่า ยอน​ ซัง ย็อบ เขาเกิดที่เมืองโซลประเทศเกาหลีใต้ ในวันที่ 21 ธันวาคม 1983 โดยเขามีน้องชายอีก 1 คน ชื่อว่า ไบรอัน ยอน ในตอนที่เขาอายุ 5 ขวบ ครอบครัวยอนก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่อเมริกา ที่เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน เนื่องจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจเกาหลีที่ไม่ค่อยจะดีนักในยุค 80s โดยเมื่อย้ายมา ครอบครัวยอนก็หันไปทำธุรกิจร้านขายเครื่องสำอางและอุปกรณ์เสริมสวย ส่วนชื่อภาษาอังกฤษว่า “สตีเวน” พ่อกับแม่ก็ตั้งให้ตามชื่อหมอที่ดูแลเขาตอนเด็ก


สตีเวน ยอน เติบโตที่อเมริกา ทำให้เขาสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และได้สัญชาติอเมริกันในเวลาต่อมา เมื่อจบชั้นมัธยม สตีเวนก็เข้าเรียนปริญญาตรี ในคณะจิตวิทยา ณ มหาวิทยาลัย Kalamazoo College รัฐมิชิแกน และก็ตามสไตล์ของครอบครัวเอเชียส่วนมาก ที่อยากให้ลูกได้เป็นหมอ พ่อแม่ยอนก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาอยากให้สตีเวนเป็นจิตแพทย์


ในตอนที่เข้าเรียนมหาลัยปีแรก เขาได้มีโอกาสชมการแสดงของชมรมการแสดงMonkapultและเขาก็ประทับใจมาก จนเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาหันมาสนใจในศิลปะการแสดง สตีเวนอยากจะเข้าร่วมชมรมนี้มาก แต่เขากลับไม่ได้รับคัดเลือก เนื่องจากไม่ผ่านการทดสอบการแสดง เพราะการแสดงของสตีเวนมันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ สตีเวนกลับไปฝึกฝนด้วยตัวเองและมาสมัครอีกครั้งในตอนปี2ก่อนจะสอบผ่าน ได้เข้าชมรมในที่สุด


การเรียนการแสดงนั้น ทำให้สตีเวนอยากเอาดีในการเป็นนักแสดงเต็มตัว ซึ่งแน่นอนว่าที่บ้านต้องไม่เห็นด้วย แต่เมื่อพ่อกับแม่ได้เห็นความตั้งใจของลูกชาย ครอบครัวยอนจึงให้โอกาสสตีเวน ในการพิสูจน์ตัวเองเป็นเวลา 2 ปี เมื่อเรียนปริญญาตรีจบ สตีเวนย้ายไปอยู่ที่ชิคาโกเพื่อทำตามความฝันในการเป็นนักแสดง เขาเริ่มจากการเป็นหนึ่งในทีมคณะตลก Stir Friday Night! ก่อนจะได้รับงานแรกอย่างเป็นทางการ คือการพากย์เสียงเป็นเหล่าทหารเกาหลีเหนือ ในเกม FPS แห่งยุคอย่าง Crysis กับ Crysis Warhead และจากประสบการณ์ในการเล่นคณะตลก ก็ทำให้เขามีโอกาสรับบทสมทบในหนังตลกฟอร์มเล็กอย่าง Jerry (2009), และซีรีส์ซิตคอมยอดฮิตอย่าง The Big Bang Theory


จนในปี2010สตีเวนก็ย้ายไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิสเมืองแห่งฮอลลีวูด เพื่อจะจริงจังกับงานแสดงขึ้นไปอีกขั้น ในตอนนั้นเองที่2ผู้สร้างซีรีส์ The Walking Dead ซีซั่นแรกอย่าง Frank Darabont และ Denise Huthกำลังมองหานักแสดงมารับบท หนุ่มเกาหลี Glenn Rhee อีกหนึ่งตัวละครสำคัญจากในคอมิกต้นฉบับ ซึ่งสตีเวนเองก็เป็นแฟนคลับของคอมิก The Walking Dead เช่นกัน เขาจึงเดินทางมาออดิชั่น และด้วยการแสดง รูปลักษณ์ที่เหมือนถอดแบบมาจากคอมิกเป๊ะ ๆ แถมยังเข้าใจตัวละครเป็นอย่างดีเพราะเคยอ่านคอมิกมาก่อน ก็ทำให้เขาคว้าบทเปลี่ยนชีวิตนี้ไปครองได้ในที่สุด


ตลอดเวลากว่า 7 ปีที่เขารับบท Glenn Rhee มันได้มอบประสบการณ์และสอนเขาในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งการทำงานในกองถ่าย การเป็นนักแสดงมืออาชีพ การเป็นศิลปิน การเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี รวมถึงการเป็นคนดีมีมนุษยสัมพันธ์ จึงไม่แปลกที่ทีมงานทุกคนจะรักและเอ็นดูเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมงานนักแสดง ที่เคยร่วมงานกับสตีเวนให้สัมภาษณ์กับสื่อ พวกเขาก็มักกล่าวชมหนุ่มตี๋คนนี้อยู่เสมอ ฝั่งผู้ชมซีรีส์ก็เช่นกัน ที่การแสดงของสตีเวนได้เพิ่มมิติให้กับ Glenn ที่ถือเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการมากที่สุดตัวหนึ่งในซีรีส์ จนเขามีแฟนคลับมากมายทั่วโลก กระทั่งว่า เมื่อถึงวาระสุดท้ายของตัวละครนี้ แฟน ๆ หลายคนก็ถึงกับประกาศเลิกดูซีรีส์ (รวมถึงผู้เขียน) ส่งผลให้เรตติ้งของ The Walking Dead ตกฮวบเลยทีเดียว


ด้วยความที่ The Walking Dead เป็นซีรีส์ขนาดยาว ทำให้ตลอด 7 ซีซั่นที่เขาแสดง สตีเวนไม่ได้มีโอกาสรับเล่นหนัง หรือไปแสดงในบทอื่น ๆ มากนัก ส่วนใหญ่ก็จะได้บทรับเชิญบ้าง ตามซีรีส์แบบจบในตอน เช่น Law& Order: LA , Warehouse 13หรืองานพากย์เสียงอย่าง American Dad! และ The Legend of Korra จนเมื่อจบบทบาทใน The Walking Dead มันก็ได้เปิดโอกาสสตีเวนได้เล่นในบทบาทที่หลากหลายมากขึ้น


ต่างจากนักแสดงชาวเอเชียคนอื่น ๆ ในเวลานั้น ที่มักจะได้รับบทแนว Stereotype ชาวเอเชีย แต่สตีเวนกลับเลือกรับบทที่มีความหลากหลาย และท้าทายการแสดงอยู่เสมอ ทำให้เขาดูจะเป็นนักแสดงมากกว่าดารา ที่ได้เล่นทั้งหนังรางวัลและหนังไอเดียประหลาด ๆ เช่น ใน Okja ผลงานของ บง จุนโฮ ที่ฉายลง Netflix ในปี 2017 ที่หน้ากล้องเขารับบทเป็นเค หนุ่มนักอนุรักษ์สัตว์ แต่หลังกล้อง สตีเวนต้องทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาเกาหลีให้กับทีมงาน , Mayhem หนังแอ็คชั่นสุดโหด เรื่องราวของเชื้อไวรัสที่เปลี่ยนให้คนในออฟฟิศบ้าคลั่ง และจากที่สตีเวนต้องล่าซอมบี้ใน The Walking Dead ก็ต้องหันมาไล่หวดคนด้วยกันเองแทน


Burning หนังที่สร้างจากเรื่องสั้นของ Haruki Murakami กับงานแสดงในประเทศบ้านเกิดอย่างเต็มตัวครั้งแรก ที่เขารับบทเบ็น เศรษฐีหนุ่มปริศนาที่เข้ามาคั่นกลางความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอก ซึ่งเป็นบทที่ทำให้เขาได้รับรางวัลการแสดงมากมายอีกด้วย นอกจากนี้ สตีเวนก็ยังไม่ทิ้งงานพากย์เสียง ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพของเขา เขามีผลงาน ทั้งอนิเมชั่นเรื่อง Voltron: Legendary Defender, The Star , Stretch Armstrong & the Flex Fighters , 3Below: Tales of Arcadia , Final Space และ Invincible อนิเมชั่นฮีโร่สายโหด อีกหนึ่งซีรีส์เรือธงจากทาง Amazon Prime


ในปี 2020 Plan B Entertainment และ A24 ก็ได้ส่งหนังอย่าง Minari ที่ทำให้ชื่อของสตีเวน ยอน เป็นที่พูดถึงของนักดูหนังสายรางวัลมากขึ้น เพราะการแสดงอันยอดเยี่ยมของเขาในเรื่อง มันได้ส่งให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายจากหลายเวที รวมถึงรางวัลออสการ์ ที่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อของนักแสดงเชื้อสายเอเชียในรางวัลนี้ ในปี 2022 เขายังได้ร่วมงานกับ Jordan Peele ในหนังไซไฟสยองขวัญอย่าง Nope และปี 2023 ที่ผ่านมา กับซีรีส์เรื่อง Beef ของทา ง Netflix ที่เพิ่งส่งให้เขาได้รางวัลนำชาย จากทั้ง Critics Choice Awards , Golden Globes และรางวัลใหญ่ของฝั่งทีวีอย่าง Primetime Emmy Awards อีกด้วย


แม้ปัจจุบัน เขาจะโด่งดังเป็นนักแสดงชาวเอเชียอันดับต้น ๆ ของวงการ แต่เขาก็ยังมีบุคลิกถ่อมตัว ติดดิน และเป็นกันเองกับคนรอบข้างเสมอ เขามีธุรกิจร้านอาหาร เกาหลี-เมดิเตอร์เรเนียน ที่ทำร่วมกับน้องชายในชื่อ The Bun Shop และในปี 2016 สตีเวนก็ได้แต่งงานกับ โจอานา พัค สาวนอกวงการและมีลูกด้วยกัน2คน แต่เขาก็ยังสามารถบาลานซ์ชีวิตส่วนตัวกับการทำงานได้ดี แม้จะมี Social Media อย่าง Instagram และ Twitter แต่สตีเวนก็แทบไม่เคยเปิดเผยชีวิตส่วนตัวของเขาเลย


ช่วงปี 2023 ที่ผ่านมา เขายังได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ Thunderbolt หนังรวมทีมวายร้ายของฝั่งมาร์เวล ซึ่งตามข่าวที่หลุดมา สตีเวนจะได้รับบทเป็น Sentry แอนตี้ฮีโร่ที่มีพลังคล้าย Superman ของอีกค่าย แต่จากปัญหาการประท้วงของเหล่านักเขียนและนักแสดงฮอลลีวูด ก็ทำให้การถ่ายทำต้องถูกพัก ส่งผลให้ตารางงานของสตีเวนก็เลื่อนไปด้วย เขาจึงต้องถอนตัวออกจากโปรเจกต์นี้ เพื่อไปรับบทที่เหมาะสมกว่า


ในอนาคต สตีเวน ยอน ยังมีงานแสดงและงานพากย์เสียงที่น่าตื่นเต้นอีกหลายเรื่อง ทั้ง Mickey 17 หนังไซไฟที่นำแสดงโดย Robert Pattinson ซึ่งเป็นการร่วมงานกับบงจุนโฮอีกครั้งในรอบ 7ปี มีการให้เสียงพากย์ใน Invicible ซีซั่น 2 ที่กำลังฉายอยู่ และซีซั่น 3 ที่ประกาศสร้างเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเร็ว ๆ นี้กำลังจะมีเวอร์ชั่นคนแสดง ซึ่งผู้สร้างก็ให้สัญญาว่า แม้ สตีเวน ยอน จะไม่ได้กลับมารับบท Mark Grayson แต่เขาก็จะมาปรากฏตัวในบทอื่นอย่างแน่นอน นับเป็นหนึ่งในนักแสดงชาวเอเชียยุคใหม่ ที่มาทลายภาพจำของคนเอเชียในฮอลลีวูด ว่าไม่ใช่เพียงแค่เด็กเนิร์ดเรียนเก่ง มีบุคลิกอ่อนแอ หรือพูดภาษาอังกฤษไม่ชัดอีกต่อไป


ที่มา :

https://www.biography.com/actors/g43620151/steven-yeun-facts

https://www.imdb.com/name/nm3081796/?ref_=tt_cl_i_8

https://www.buzzfeed.com/michelelbird/steven-yeun-fun-facts

https://facts.net/celebrity/34-facts-about-steven-yeun/

https://youtu.be/lHF8N5VSsb4?si=L_l1Alyz4ttHO3FW

https://youtu.be/QwoqJjlc7vo?si=YOHO3mdEPKzuxzDS