MENU

"PKN" ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 25.4 ล้านหุ้น รองรับแผนก้าวสู่ผู้นำสินค้าสิขสิทธิ์ในอาเซียน

 31 พ.ค. 2567 00:00

บมจ.พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง (PKN) ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 25.4 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอภายในปีนี้ รองรับแผนก้าวสู่ผู้นำด้านสินค้าลิขสิทธิ์สำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจและผู้บริโภคในอาเซียน พร้อมเดินหน้า M&A ต่อยอดธุรกิจลิขสิทธิ์หรือลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ และความบันเทิง (Entertainment) ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดด


นางดาริน กาญจนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด (PKN) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PKN เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 25,400,000 หุ้น คิดเป็น 25.30% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท และมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)ภายในปีนี้


นายนพพล มิลินทางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง (PKN) กล่าวว่า PKN ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าเพื่อการสะสม สินค้าลิมิเต็ด สินค้าพรีเมี่ยม และสินค้าลิขสิทธิ์ มีวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพในอนาคต เช่น การเข้าซื้อกิจการ (M&A) และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ


“ที่ผ่านมา PKN ได้รับลิขสิทธิ์ทั้งจากตัวการ์ตูน คาแรคเตอร์จากภาพยนตร์หรือแอนิเมชั่นที่เป็นที่นิยมมากกว่า 100 คาแรคเตอร์ จากผู้ให้ลิขสิทธิ์ชั้นนำจากทั้งฝั่งสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น เช่น (1) Universal Studio Licensing เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์ Minion และ Felix the cat และลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious และ Puss in Boots 2 เป็นต้น (2) Dream Express ตัวแทนในการดูแลลิขสิทธิ์ของคาแรคเตอร์จากแอนิเมชั่นชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นอย่าง Gundam, One Piece, Demon Slayer Kimetsu No Yaiba, Ultraman, Masked Rider และDetective Conan เป็นต้น และ (3) The Walt Disney เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์จากภาพยนตร์ Avengers, Spider-Man และMarvel เป็นต้น รวมถึงมีคาแรคเตอร์จากศิลปิน (Creator) ชาวไทย”


ปัจจุบัน บริษัทฯ ผลิตสินค้าลิขสิทธิ์มานานกว่า 6 ปี ทั้งสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่นำไปจัดจำหน่ายต่อหรือเป็นสินค้าส่งเสริมการขาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในหลายอุตสาหกรรมที่มีความสัมพันธ์ที่ดีและมีการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่อง และสำหรับลูกค้าผู้บริโภคภายใต้เครื่องหมายการค้า IGNITE ที่พัฒนาและจำหน่ายภายใต้บริษัทเอง


สำหรับภาพรวมธุรกิจลิขสิทธิ์ทั่วโลกจากบทวิเคราะห์ Global and Thailand Brand Licensing Market Research 2023 (Arsta Research) พบว่า ธุรกิจลิขสิทธิ์มีมูลค่าตลาด 290.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวๆ 10.3 ล้านล้านบาท ในปี 2565 ที่ผ่านมา และคาดว่าอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 4.2% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2566 - 2572 คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีทบต้น (CAGR) ตั้งแต่ปี 2561-2572F เท่ากับ 3.6% โดยยอดขายปลีกทั่วโลกของสินค้าลิขสิทธิ์จะมีมูลค่าสูงถึง 389.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2572


ขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (2564-2566) บริษัทฯมีรายได้รวม 141.22 ล้านบาท 238.07 ล้านบาท และ 252.06 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ไตรมาส 1/2567 มีรายได้ 55.84 ล้านบาท โดยรายได้ของบริษัทมาจาก 3 กลุ่มหลัก 1) รายได้จากสินค้าลิขสิทธิ์จากลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) 2) รายได้จากสินค้าลิขสิทธิ์จากลูกค้ารายย่อย (B2C) และ 3) รายได้จากสินค้าและบริการอื่น ขณะที่ในปี 2566 มีกำไรสุทธิ 13.65 ล้านบาท


ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย และข้อบังคับของบริษัทฯ


บริษัทฯ มีเป้าหมายระยะยาวที่จะเป็นผู้นำด้านสินค้าลิขสิทธิ์สำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจและผู้บริโภคในอาเซียน โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าลิขสิทธิ์ให้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจเดิมและขยายตัวไปยังลูกค้าที่มีศักยภาพใหม่ในประเทศไทยประมาณ 50% และมีสัดส่วนรายได้สินค้าลิขสิทธิ์จากการขยายไปยังลูกค้าธุรกิจต่างประเทศ 10% และมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ IGNITE ผ่านช่องทางการขายแบบออฟไลน์ (ร้านค้าตัวแทนและเปิดสาขาของบริษัท) 10% และช่องทางออนไลน์ 10% และอีก 20% จะเป็นรายได้จากการขยายธุรกิจโดยการซื้อกิจการหรือร่วมทุน (M&A) ในบริษัทที่มีศักยภาพและสามารถต่อยอดธุรกิจสินค้าลิขสิทธิ์ได้อย่างมั่นคง หรือลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และความบันเทิง (Entertainment) เพื่อให้เกิด Synergy ใหม่ผลักดันการเติบโตในอนาคตอย่างก้าวกระโดด