MENU

ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ “GULF” 2.5 หมื่นล้านบาท ที่ "A" แนวโน้ม "STABLE"

 25 ก.ค. 2567 00:00

ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ที่ "A" แนวโน้ม "STABLE" (คงที่) ระบุแผนควบรวมกับบมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) ที่จะแล้วเสร็จไตรมาส2 ปี68 ไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต


รายงานจาก ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท และมีอายุไม่เกิน10 ปีของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ขยายธุรกิจและ/หรือใช้ชำระหนี้


พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ "A+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable"หรือ "คงที่"


อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของ GULF ที่เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ตลอดจนการลงทุนที่มีการกระจายตัวที่ดี ผลงานในการพัฒนาและดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับ รวมถึงกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูงจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ. อันดับเครดิต "AAA/Stable")


อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวก็ลดทอนลงจากความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทและภาระหนี้สินที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงขยายการลงทุน อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการประกาศแผนควบรวมกิจการกับ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH โดยทริสเรทติ้งเห็นว่าการควบรวมกิจการดังกล่าวซึ่งน่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี2568 นั้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต


ขณะที่ผลกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ยังคงสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้กระแสเงินสดที่มั่นคงจากโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ช่วยรักษา EBITDA ของบริษัทให้อยู่ในระดับน่าพอใจที่จำนวน 8.5 พันล้านบาทในช่วงดังกล่าว ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 7.1 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง)


อันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทซึ่งต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นนั้นสะท้อนถึงความเสี่ยงจากลักษณะการด้อยสิทธิอย่างมีสาระสำคัญ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2567 หนี้เงินกู้รวมของบริษัท ซึ่งไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 2.87 แสนล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) จำนวน1.46 แสนล้านบาท


ซึ่งประกอบด้วยหนี้เงินกู้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้เงินกู้ทั้งหมดของบริษัทย่อย ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 51%ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากลำดับสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท


ด้านแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทที่เปิดดำเนินงานแล้วจะผลิตไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นและสร้างกระแสเงินสดได้ตามแผน ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้นคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินงานได้ตามกำหนดการ อีกทั้งกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทจะไม่ทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ


ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่า แผนควบรวมกิจการของบริษัทไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต เนื่องจากคาดว่ายังไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญต่อสถานะทางธุรกิจภายใต้บริษัทใหม่ (NewCo) หลังการควบรวมกิจการ นอกจากนี้ทริสเรทติ้งยังคาดว่าตัวชี้วัดเครดิตต่าง ๆ ของ NewCo จะยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัท


สำหรับปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลงนั้น การปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้เมื่อพิจารณาจากแผนการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัท แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถลดภาระหนี้สินลงได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือหากทริสเรทติ้งได้พิจารณาแล้วว่าการควบรวมกิจการส่งผลให้ตัวชี้วัดเครดิตต่าง ๆ และสถานะทางธุรกิจแข็งแรงขึ้นอย่างมากในระยะยาว


ในทางตรงกันข้าม ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการลงทุนด้วยการก่อหนี้จำนวนมาก การมีต้นทุนในการก่อสร้างที่บานปลายอย่างมีสาระสำคัญ หรือความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ถดถอยลงเป็นอย่างมาก จนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ในระดับเกินกว่า 8 เท่าอย่างต่อเนื่อง