MENU

“MPJ” เตรียมขายไอพีโอ 53 ล้านหุ้น เข้าเทรดเอ็มเอไอ ไตรมาส 4 นี้

 28 ส.ค. 2567 00:00

บมจ.เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ (MPJ) เตรียมเดินหน้าระดมทุนเสนอขายหุ้นไอพีโอ 53 ล้านหุ้น หวังนำเงินขยายธุรกิจซื้อรถหัวลากพ่วง ปรับปรุงลานตู้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ภายในไตรมาส 4 ปีนี้


นายจีระศักดิ์ มานะตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ เปิดเผยว่า MPJ เตรียมแผนจะเข้าระดมทุนเพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 53 ล้านหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ประมาณไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เพื่อรองรับการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปดำเนินการซื้อรถหัวลากหางพ่วงทดแทน ปรับปรุงลานตู้ และลงทุนอุปกรณ์ในลานตู้รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และธุรกิจลานตู้ เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการลงทุนต่างๆ ในอนาคต พัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรองค์กร (ERP) และชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน


ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย และข้อบังคับของบริษัทฯ


สำหรับ MPJ เป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร ที่มีประสบการณ์กว่า16 ปี ให้บริการขนส่งทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ครอบคลุมการให้บริการขนส่งทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจกว่า20 ปี

โดย MPJ และ 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็ม พี เจ ดีสทริบิวชั่น เซ็นเตอร์ (MPJDC) และ บริษัท เอ็ม พี เจ แวร์เฮ้าส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (MPJWD) เป็นบริการโลจิสติกส์ 4 ประเภท คือ 1. บริการขนส่งทางบก ต่อเนื่องกับทางเรือ ด้วยรถบรรทุกหัวลาก 237 คัน และหางพ่วง 268 คัน ซึ่งเป็นฟลีทขนาดใหญ่ในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง 2. บริหารลานตู้คอนเทนเนอร์และให้บริการซ่อมแซมตู้คอนเทนเนอร์ของผู้ให้บริการสายเรือ โดยมีลานตู้คอนเทนเนอร์ 2 แห่ง ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง


3. บริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) จัดหาระวางเรือและเครื่องบิน 4. บริการให้เช่าคลังสินค้า ขนาด 4,900 ตารางเมตร ในย่านแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และขนาด 12,463 ตารางเมตร ในพื้นที่จังหวัดระยอง พร้อมส่งมอบในไตรมาส 2 ปี 2567 โดยในปี 2562 บริษัทฯ ได้เข้าร่วมทุนกับ OOCL Logistics (Hong Kong) Limited ผู้ให้บริการสายเรือระดับโลก OOCL และ COSCO ผ่านบริษัทย่อย MPJDC ในการจัดตั้งบริษัท โอเอ็ม ดีโพ จำกัด (OM) ซึ่ง MPJDC ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 49 เพื่อการบริหารการจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ของกลุ่ม OOCL และCOSCO เป็นหลัก มีลานตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด 2 แห่ง ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวได้ว่าบริษัทฯ เป็นผู้นำด้านลานตู้อันดับต้นๆ ของประเทศไทย


“ธุรกิจของบริษัทฯ มุ่งเน้นการให้บริการแก่สายเรือระดับโลกเป็นลูกค้าหลัก โดยให้บริการลานตู้คอนเทนเนอร์ และขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ เริ่มต้นจากขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากท่าเรือแหลมฉบัง นำมาเก็บที่ลานตู้คอนเทนเนอร์ และขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างแหลมฉบังและกรุงเทพฯ (ลาดกระบัง) และมีธุรกิจคลังสินค้า ไว้บริการแก่ลูกค้าสายเรือและลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีบริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร”


สำหรับผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนแรกปี 2567 กลุ่มบริษัทมีรายจากการให้บริการจำนวน 222.59 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 211.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 11.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.24 โดยรายได้หลักมีสัดส่วนจากธุรกิจขนส่งร้อยละ 51.74 จากธุรกิจลานตู้คอนเทนเนอร์ร้อยละ 34.35 จากธุรกิจ Freight Forwarder ร้อยละ 13.05 และ ธุรกิจคลังสินค้าร้อยละ 0.86


ส่วนในงบปี 2566 MPJ มีรายได้จากการให้บริการรวม 910.24 ล้านบาท กำไรสุทธิ 80.45 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 รายได้จากการให้บริการรวม 1,300.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 101.34 ล้านบาท และปี 2564 รายได้จากการให้บริการรวม 1,014.74 ล้านบาท กำไรสุทธิ 76.74 ล้านบาท

นายเอกจักร บัวหภัคดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ที่ปรึกษาการเงิน กล่าวว่า MPJ เป็นบริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ครบวงจรอย่างแท้จริง และมีจุดเด่นหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการให้บริการลานตู้คอนเทนเนอร์ และขนส่งด้วยฟลีทรถบรรทุกหัวลากมากถึง 237 คัน จึงสามารถให้การบริการและควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


นอกจากนี้ การร่วมทุนกับสายเรือระดับโลก OOCL และ COSCO ซึ่งทำธุรกิจร่วมกันมายาวนาน ทำให้บริษัทฯ มีปริมาณธุรกิจที่มั่นคงและต่อเนื่อง พร้อมจะเติบโตกับการขยายตัวของการส่งออกนำเข้า และการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยบริษัทฯ มีแผนการลงทุนในหลายด้าน เช่น ลงทุนซื้อรถบรรทุกหัวลากและอุปกรณ์สำหรับธุรกิจลานตู้คอนเทนเนอร์ ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจ ในขณะที่แผนการคืนหนี้สถาบันการเงิน จะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง เพิ่มความสามารถในการทำกำไร และมีสถานะการเงินที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น