MENU

"วิษณุ-ศิริญา" ปฏิเสธข้อหาไซฟ่อนเงิน ยันยังถือหุ้น NUSA 20%

 25 ก.ย. 2567 00:00

"วิษณุ-ศิริญา" อดีตผู้บริหารบมจ.ณุศาศิริ (NUSA) ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา มั่นใจชี้แจงดีเอสไอได้ทุกประเด็น ยันยังถือหุ้นเกิน20% พร้อมเดินหน้าธุรกิจท่องเที่ยวและสุขภาพ เปิดตัว ต.ค. นี้


จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษนายวิษณุ เทพเจริญ และนางศิริญา เทพเจริญ กรรมการอดีตกรรมการและผู้บริหาร บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA พร้อมพวกรวม 6 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ปมธุรกรรมการเข้าลงทุนซื้อโรงแรมที่เยอรมนีราคาสูง การขายห้องชุดในราคาต่ำกว่าราคาประเมิน รวมทั้งการผ่องถ่ายเงินจากบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัวและบุคคลใกล้ชิดนั้น


วันนี้ (25 ก.ย.67) นายวิษณุ เทพเจริญ และนางศิริญา เทพเจริญ อดีตกรรมการ และผู้บริหาร บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) ได้แถลงข้อเท็จจริง ยืนยันไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมเตรียมนำหลักฐานชุดที่ยื่นให้ ก.ล.ต. เข้าชี้แจงต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อ เนื่องจากขั้นตอนยังคงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเป็นเวลานาน แต่มั่นใจจะสามารถชี้แจงและแสดงความบริสุทธิ์ต่อดีเอสไอได้


สำหรับประเด็นการซื้อโรงแรม Panacee Grand Hotel Roemerbad ประเทศเยอรมนี (Panacee) ในราคาที่สูงกว่าราคาประเมินนั้น เนื่องจากสถานะการณ์ ณ เวลานั้น ธุรกิจหลักของบริษัท ในด้านอสังหาริมทรัพย์ กำลังที่จะถอยลง เราจึงมองหาธุรกิจด้านใหม่ที่จะสามารถทำให้ บริษัทสามารถไปต่อได้ โดยเล็งเห็นแล้วว่า ธุรกิจด้านสุขภาพ น่าจะเป็นธุรกิจที่จะสามารถทำกำไรและไปต่อได้ดีทั้งในวันนี้และในอนาคต ผู้บริหารจึงได้มุ่งมั่นที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจด้านนี้


ดังนั้นเราจึงเริ่มลงทุนในการซื้อ กลุ่ม Panacee ทั้งประเทศไทย และประเทศจีน ในเมื่อปี 2561 โดยมีการวางแผนธุรกิจต่างๆตั้งแต่ ปี 2562 -2563 ว่าจะทำการหาลูกค้าหรือมองกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่ม high end ทางผู้บริหารได้เล็งเห็นว่าลูกค้าชาวจีนน่าจะมีศักยภาพสูงที่จะเป็นลูกค้าของเราได้ เราจึงได้เข้าพูดคุยเรื่องแผนธุรกิจนี้ จึงได้ข้อสรุปว่า หากเราเข้าทำธุรกิจด้านสุขภาพกับทางจีน เรามีเงื่อนไขการส่งลูกค้าที่จะไปใช้บริการที่เยอรมนีปีละ อย่างน้อย 200 – 300 คน ซึ่งถ้าเราได้กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ ก็จะทำให้ธุรกิจ โรงพยาบาลและโรงแรมทำรายได้ให้แก่บริษัทมากขึ้น เราจึงเข้าซื้อที่เยอรมนี ซึ่งก็จะทำให้เราได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้ามากขึ้น และก็จะสามารถดำเนินธุรกิจนี้ได้อย่างมั่นคง


เมื่อมาดูในเรื่องราคาที่เราซื้อมาราคา 740 ล้านบาท ราคานี้ เมื่อคำนวนแล้ว เนื้อที่ 10,000 กว่าตารางเมตร ห้องพักอีก 75 ห้อง ได้ธุรกิจเวลเน็ต และได้แบรนด์ของธุรกิจมาด้วย ราคานี้จึงถือว่าไม่แพง และคุ้มค่ากับการลงทุนมาก


สำหรับเอกสารการประเมินมูลค่าราคาซื้อขายโรงแรม Panacee Grand Hotel Roemerbad มี 2 ฉบับ โดยฉบับแรกเป็นเอกสารประเมินมูลค่าสินทรัพย์เมื่อปี 2561 มูลค่า 11.50 ล้านยูโร หรือ 425 ล้านบาท ส่วนฉบับที่ 2 เป็นการประเมินมูลค่าการซื้อหุ้นโรงแรม Panacee Grand Hotel Roemerbad ประเทศเยอรมนี เมื่อปี 2564 มูลค่า 20 ล้านยูโร หรือ 740 ล้านบาท


โดยเอกสารที่นำส่งไปยัง ก.ล.ต. นั้น เป็นเอกสารที่แท้จริงและได้รับการลงลายมือชื่ออย่างถูกต้อง เอกสารมีหลายเวอร์ชั่น เกิดจากกระบวนการที่เอกสารถูกนำไปใช้ในรูปแบบต่างๆ ของการดำเนินธุรกิจ การเปลี่ยนจากการซื้อสินทรัพย์เป็นการซื้อหุ้นจึงมีการยื่นเอกสารใหม่ให้กับบอร์ดพิจารณา ซึ่งเอกสารเหล่านี้มีการตรวจสอบและยืนยันว่าเป็นของจริง


"ประเด็นเอกสารการประเมินมูลค่ามี 2 ฉบับนั้น เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงธุรกรรมจากรูปแบบการซื้อสินทรัพย์ เป็นการซื้อหุ้น จึงนำส่งฉบับที่ 2 ให้ก.ล.ต. เพื่อให้สอดคล้องกับการธุรกรรมซื้อหุ้น ส่วนเรื่องราคาประเมินปี 2564 สูงกว่าปี 2561 เพราะได้รวมมูลค่าการรีโนเวทอาคาร และการได้มาของธุรกิจสุขภาพ รวมถึงแบรนด์Panacee ด้วย"


สำหรับเรื่องการขายห้องชุดในราคาต่ำกว่าราคาประเมินนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซา บริษัทขาดสภาพคล่อง จำเป็นต้องใช้เงิน จึงต้องหาบุคคลที่รู้จักเข้ามาช่วยเหลือซื้อห้องชุดดังกล่าว แม้ว่าราคาขายจะต่ำกว่าราคาประเมิน แต่บริษัทยังมีกำไรจากการขายดังกล่าว


โดย NUSA ขายห้องชุดราคา 210 ล้านบาท จากราคาซื้อมาที่ 180 ล้านบาท กำไรกว่า 40 ล้านบาท จึงได้นำเงินบางส่วนไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน มีกระแสเงินสดหมุนเวียน รวมทั้ง NUSA ยังได้ปลดหลักประกันกับสถาบันการเงินเป็นห้องชุด โครงการ Parc Exo อีก 456 ยูนิต มูลค่าทางบัญชีเกือบ 700 ล้านบาท


ส่วนเรื่องการโอนเงินจากบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัวและบุคคลใกล้ชิด ช่วงที่บริษัทขาดสภาพคล่อง บริษัทจึงได้ทยอยโอนชำระค่าซื้อโรงแรมเป็นงวดๆ ทำให้มีการทำธุรกรรมหลายครั้ง และมีบางช่วงที่เจ้าของต้องการเงินไปรีโนเวทโรงแรม แต่บริษัทไม่มีเงิน ทำให้ผู้บริหารต้องนำเงินส่วนตัวและเงินกู้จ่ายให้แก่ผู้ขาย เมื่อมีการชำระค่าโรงแรม จึงทำให้มีการโอนเงินคืนในส่วนนี้


“หากจะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน เมื่อเห็นมีเงินเข้ามาในบัญชีเรา ก็อยากให้มีการตรวจสอบให้สุดทางว่าเงินมันได้มาอยู่ในบัญชีออมทรัพย์เรามั้ย"


ส่วนเรื่องการถือหุ้นนั้น ขณะนี้นายวิษณุ และนางศิริญา ยืนยันว่า ตนและพวกยังคงถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนกว่า 20% ยังไม่ได้มีการขายออกไป เพราะราคายังต่ำ หากกลุ่มผู้บริหารใหม่นำพาบริษัทให้เติบโตได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น แต่ถ้าทิศทางของ NUSA มีแนวโน้มไม่ดีก็อาจจะขายได้ ขณะเดียวกันยังได้เตรียมเปิดดำเนินธุรกิจส่วนตัวที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและสุขภาพประมาณเดือน ต.ค.นี้