MENU

"ซีพีเอฟ" ไตรมาส 3/67 โกยกำไร 7.3 พันล้าน พุ่งแรงกว่า 500%

 14 พ.ย. 2567 00:00

บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิ 7,309 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 504% จากปีก่อนขาดทุน 1,810 ล้านบาท จากราคาสุกรอยู่ในระดับสูง ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ลดจากการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจ


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ว่า บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิจำนวน 7,309 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 504% จากไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ขาดทุนสุทธิ 1,810 ล้านบาท เป็นผลมาจากการมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และการได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและร่วมทุนที่ดีขึ้นถึงเกือบ 6 เท่า รวมถึงระดับราคาสุกรในหลายประเทศอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีที่ผ่านมา ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ที่ลดลงจากการบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น การควบคุมบริหารค่าใช้จ่ายให้ต่ำลง และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง รวมทั้งการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนกำไรในไตรมาสนี้


ไตรมาส 3 ปีนี้ ซีพีเอฟ มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15.4% เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.0 ของไตรมาส 3 ปี 2566 จากระดับราคาสุกรที่อยู่ในระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะระดับราคาสุกรในประเทศเวียดนามที่สูงกว่าปีก่อนจากภาวะปริมาณสุกรลดลงจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า ประกอบกับต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ในหลายประเทศลดลงที่เป็นผลจากการบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น และระดับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ลดลงจากปีก่อน รวมถึงการบริหารการวิจัยและสรรหาวัตถุดิบทดแทนที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมด้วยต้นทุนที่ลดลง


ส่วนรายได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าอยู่ที่ 3,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น5 92% จากปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทร่วมที่ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์และสุกรในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จากระดับราคาสุกรอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและต้นทุนการผลิตที่ลดลง รวมทั้งผลการดำเนินงานของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่ดีขึ้นจากปีก่อน


นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวว่า ผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างมากในปีนี้ เป็นผลมาจากการร่วมมือกันของผู้บริหารและทีมงานที่ช่วยกันดำเนินการเพื่อพลิกกลับสถานการณ์ที่ขาดทุนในปี 2566 ทั้งจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินงานให้ตอบสนองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ และสอดรับต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละท้องที่ โดยเฉพาะที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การร่วมมือกันของทุกคนในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้ปัจจุบันนี้ เรามีฐานที่พร้อมในการแข่งขัน และบริษัทมีความสามารถที่จะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้


ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนและมีความผันผวนในหลายพื้นที่ ทั้งยังมีความขัดแย้งทางภูมิสังคมในหลายส่วน บริษัทจึงต้องปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์ในการแข่งขันเพื่อให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งต้องมีการดำเนินการในการช่วยลดผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น


บริษัทมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการสร้างวัฒนธรรมองค์กรนวัตกรรม โดยการผสานนำเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และแนวคิดการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างคุณค่าร่วมไปกับสังคม โดยมุ่งหาแนวทางในการใช้ทรัพยากรให้น้อยลง


ในขณะเดียวกันก็ผลิตได้มากขึ้น ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราผลิตนั้นมีคุณภาพและมีคุณค่าในระดับสูงสุด ในขณะที่มีกระบวนการทำงานที่ดูแลห่วงโซ่อุปทานทุกส่วนให้เติบโตไปด้วยกัน หรือที่เรียกว่า "นวัตกรรมความยั่งยืน หรือSustainovation" ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เรามีความสามารถในการแข่งขันในสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต