MENU

ธุรกิจน้ำมันฉุดกำไร บจ. SET งวด 9 เดือนร่วง 5.4% เหลือ 6.86 แสนล้าน

 25 พ.ย. 2567 00:00

"อัสสเดช คงสิริ" เอ็มดีตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลงาน 9 เดือนแรกปี 67 บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยอดขายรวม 13.17 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% กำไรสุทธิ 6.86 แสนล้านบาท ลดลง 5.4% จากธุรกิจน้ำมันและปิโตรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันลดลง ขณะที่ บจ. mai ยอดขายเพิ่มขึ้น 5.9% อยู่ที่ 1.55 แสนล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 6.30 พันล้าน เพิ่มขึ้น 27.2%


นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) 810 บริษัท คิดเป็น 98.8% จากทั้งหมด 820 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และงบการเงินไม่ตรงรอบปีปฎิทิน) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่า มี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 617 บริษัท คิดเป็น 76.2% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด


โดยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ในSET มียอดขาย 13,174,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 8.8% และ 10.0% ตามลำดับ ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,206,922 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 686,492 ล้านบาท ลดลง 2.1% และ 5.4% ตามลำดับ


หากพิจารณาในกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) บจ. จะมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.0%, 13.2% และ 8.4% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 กันยายน 2567 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.54 เท่า ลดลงจาก 1.60 เท่า


“การท่องเที่ยวที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ส่งผลบวกให้ บจ. ไทยที่ทำธุรกิจด้านการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีผลประกอบการดีขึ้น เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก โรงพยาบาล และโทรคมนาคม อีกทั้งธุรกิจการเงิน ยังเติบโตได้ดีจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงในไตรมาส 3 ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีได้รับผลกระทบ และส่งผลให้ผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรก แม้รายได้ยังเติบโต แต่มีกำไรสุทธิลดลง” นายอัสสเดช กล่าว

บจ.mai ยอดขาย9 เดือน รวม155,843 ล้านบาท

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 213 บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 220 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดย 9 เดือน ปี 2567 พบ บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 151 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด


ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี2567 ของ บจ.mai เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขาย 155,843 ล้านบาท และต้นทุนขาย 115,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% และ 4.2% ตามลำดับ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 40,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 29,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,364 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และ 27.2 % ตามลำดับ


หากพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไร พบว่า บจ. ยังคงความสามารถในการทำกำไรดี โดยมี Gross Profit Margin Operating Profit Margin และ Net Profit Margin อยู่ที่ระดับ 26.0%, 7.3% และ 4% เพิ่มขึ้น 1.1%, 1.4% และ 0.6% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ


“ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ของ บจ. ใน mai ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก บจ. ทำผลประกอบการสะสมมาได้ดี หากแต่งวดไตรมาสที่ 3 เริ่มเห็นการเติบโตน้อยลง โดยมียอดขายและกำไรจากการดำเนินงานเติบโตเพียง 3.9% และ 4.9% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณางวด 9 เดือน ตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบยอดขายเติบโตในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มทรัพยากรที่มียอดขายลดลง โดย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ” นายประพันธ์ กล่าว


ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ.mai มีสินทรัพย์รวม 329,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากสิ้นปี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.78 เท่า เท่ากับปี 2566


ปัจจุบันมี บจ.ในmai 220 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 322.57 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 311,812 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,554 ล้านบาทต่อวัน