MENU

“บลูเบลล์” เจาะลึก 4 ธีม “B-L-U-E” เสริมพอร์ตชนะตลาดปี 2025

 17 ธ.ค. 2567 00:00

บล.บลูเบลล์ สะท้อนภาพการลงทุนปี 2024 ค่อนข้างสดใส สร้างผลตอบแทนค่อนข้างดีทั้งตลาดหุ้นสหรัฐ หุ้นเอเชีย อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และคริปโทเคอร์เรนซี พร้อมเปิดมุมมองการลงทุนปี 2025 ด้วย 4 ธีมการลงทุน "B-L-U-E"


นายศุภกฤต พิทักษ์พรเกษม, CISA ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด ได้สะท้อนภาพการลงทุนปี 2024 และประเมินแนวโน้มการลงทุนในป 2025 ระบุว่า เราเดินทางมาถึงช่วงเวลาปลายปีอีกครั้ง เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนหลายๆท่านใช้ในการรีวิวพอร์ตการลงทุนของตัวเอง ที่ลงทุนกันมาตลอดทั้งปี ซึ่งในปี 2024 ถือว่าเป็นปีที่ตลาดการลงทุนค่อนข้างสดใส แม้จะมีบางช่วงจังหวะที่ตลาดเกิดความผันผวนบ้าง โดยสินทรัพย์การลงทุนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นสหรัฐฯ หุ้นเอเชีย อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ รวมถึง คริปโทเคอร์เรนซีก็ล้วนสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี


อย่างไรก็ตาม โลกการลงทุนก็ต้องเดินต่อไป ในสิ้นปีแบบนี้เราต้องมองต่อว่า “แล้วปี 2025 ตลาดการลงทุนจะเป็นอย่างไรต่อ” สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีเหมือนกับในปี 2024 หรือไม่? เราจึงอยากมาขอแชร์มุมมองการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2025 ด้วย 4 ธีมการลงทุน คือ B-L-U-E


1. Build Portfolio on the America First Policy

การกลับมาของ Donald Trump ที่มาพร้อมนโยบายหลัก “America First” ที่จะทำให้สหรัฐฯเติบโตแข็งแกร่งในทุกๆ ด้าน ดังนั้นพอร์ตการลงทุนของเราก็ควรต้องปรับเป็น America First ตามนโยบายของผู้นำประเทศมหาอำนาจของโลกเช่นกัน


เราแนะนำว่า ในปี 2025 Core Portfolio ของนักลงทุนควรต้องเป็นกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากนโยบายของ Trump ค่อนข้างสนับสนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคล ที่ช่วยให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มมากขึ้น นโยบายตั้งกำแพงภาษี และนโยบายผู้อพยพของ Trump มีแนวโน้มช่วยให้คนอเมริกันมีรายได้ และการบริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเติบโตตาม โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้จากในประเทศเป็นหลัก


เรามองว่าในปี 2025 กองทุนหุ้นสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ หรือ ขนาดเล็กมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ต่อ แต่สปอตไลท์น่าจะจับไปที่หุ้นขนาดเล็กมากกว่า เนื่องจากระดับ Valuation มีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และหลายบริษัทเริ่มพลิกฟื้นจากขาดทุนมามีกำไรมากขึ้น


2. Lower interest rates trend

อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังเป็นขาลงต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางหลักๆของโลกได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 2024 โดยประเทศหลักที่เราต้องติดตาม คือ สหรัฐฯ ที่เรียกได้ว่ามีส่วนในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินทั่วโลก เราคาดว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2025 ซึ่งจะปัจจัยช่วยหนุน Sentiment ของตลาดการลงทุน และจำกัด Downside ของตลาดหุ้นสหรัฐฯในปีหน้า โดยในปัจจุบันอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่พุ่งขึ้นมาที่ระดับ 4.3-4.5% เรามองว่าได้สะท้อนผลกระทบการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) กับประเทศอื่นทั่วโลกไปแล้ว


ดังนั้นหากในปีหน้า FED ปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง หรือ 0.75% ตามที่เราคาดไว้ น่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.75% ดังนั้นในปี 2025 สินทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์ในภาวะดอกเบี้ยขาลงอย่าง REITs หรือ ตราสารหนี้ ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ สำหรับกองทุนตราสารหนี้ เรามองว่าควรเลือกกองทุนที่มีอายุเฉลี่ยตราสาร (Duration) ที่ยาว ประมาณ 3 ปีขึ้นไป เพื่อที่จะได้สร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวลง


3. Upturn in Asian market

เรามองว่าในปี 2025 ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง ทาง IMF ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทษเอเชียเกิดใหม่ อาทิเช่น จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ไทย, เวียดนาม และอื่นๆ จะสามารถเติบโตได้ถึงระดับ 5.1% หากเทียบกับตลาดพัฒนาแล้วที่ IMF คาดการณ์ว่าจะโตได้เพียง 1.8% ในปี 2025 ประกอบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน และ ระดับValuation ที่มีความน่าสนใจ


ส่วนด้าน Fund Flow เราคาดว่าในปี 2025 มีโอกาสที่สกุลเงิน US dollar จะเริ่มอ่อนค่าลงคล้ายกับช่วงปี 2016-2017 ที่ Dollar แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ Trump ชนะการเลือกตั้ง และเริ่มอ่อนค่าคงในปีถัดไป ซึ่งการที่ Dollar อ่อนค่าลงจะหนุนให้ Flow ไหลเข้าตลาดเอเชียมากขึ้น โดยเราแนะนำให้ลงทุนในประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง และมีความเป็นกลางในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ได้แก่ ตลาดหุ้นอินเดียที่มีเศรษฐกิจเติบโตระดับสูงและโดดเด่นกว่าประเทศอื่นๆ จากภาครัฐที่ใช้นโยบายการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่รัฐบาลสนับสนุนภาคธุรกิจ ผลักดันการเติบโตของประเทศในระยะยาว รวมถึงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น และเตรียม Upgrade เข้าสู่ Emerging market ในปี 2025


4. Expand The AI Opportunity

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง นำโดยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้ง 7 ตัวของสหรัฐฯ หรือ MAG7 โดยเราคาดว่าแนวโน้มในปีหน้าก็ยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากกำไรของหุ้นกลุ่มเหล่านี้ยังเติบโตในระดับที่สูง หลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น Healthcare, AI, Cloud Computing และ Data Center ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และอาจมีนวัตกรรมใหม่ๆที่มาช่วยผลักดันการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น


อย่างไรก็ตาม นอกจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เรามองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ นอกจาก MAG7 ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ข้อมูลจาก Consensus คาดการณ์ว่ากำไรของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่นอกเหนือจาก MAG7 จะมีอัตราการเติบโตของกำไรในช่วง 2 ปีข้างหน้าที่ 36% และ 17% ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่ม MAG7 มีอัตราการเติบโตของกำไรใน 2 ปีข้างหน้าที่ 21% และ 14% ตามลำดับ


เราแนะนำว่า การจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2025 ควรมีการลงทุนใน MAG7 ติดพอร์ตไว้เนื่องจากแนวโน้มยังแข็งแกร่ง แต่ควรต้องเพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีการกระจายการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่หลากหลายมากขึ้น


โดยสรุปแล้ว เรามองว่าในปี 2025 จะยังคงเป็นปีที่ดีกับตลาดการลงทุน แม้จะมีโอกาสเผชิญความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นจากการกลับมาของ Donald Trump แต่หากเราพิจารณาจากปัจจัยหลายๆด้าน จะพบว่า พื้นฐานของเศรษฐกิจ และตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯหรือเอเชียก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง พร้อมกับนโยบายการเงินทั่วโลกที่ผ่อนคลายก็ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุน


เราแนะนำว่า นักลงทุนควรจัดพอร์ตการลงทุนให้มีความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ในพอร์ตการลงทุนควรลงทุนในกลุ่มที่มีเทรนด์แข็งแกร่งเป็น “Core Portfolio” ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยสัดส่วนที่แนะนำ คือ 60-80% ของพอร์ต และ เสริมด้วย “Satellite Portfolio” ที่สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ได้แก่ หุ้นอินเดีย หุ้นเวียดนาม หุ้นสหรัฐฯขนาดเล็กในสัดส่วน 20-40% ของพอร์ต