MENU

กลุ่มทิสโก้ ตั้งเป้าปี 68 สินเชื่อโต 0-5% รุกปล่อยกู้จำนำทะเบียนจยย.-บ้านแลกเงิน

 14 ม.ค. 2568 00:00

กลุ่มทิสโก้ เปิดแผนปี 68 เดินหน้ายุทธศาสตร์ธุรกิจยั่งยืน มุ่งบริหารจัดการในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวางเป้าสินเชื่อโต 0-5% คุม NPL ไม่เกิน 3% รุกธุรกิจ "จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์-บ้านแลกเงิน" ขณะที่ปี 67 กำไรสุทธิ 6,900 ล้านบาท ลดลง 5.5%


นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO (กลุ่มทิสโก้) เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานในปี 2568 กว่า กลยุทธ์ของทิสโก้ในปีนี้ภายใต้บริบทที่ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทายสูงและต้องดำเนินการอย่างรอบคอบในทุกมิติ กลุ่มทิสโก้จะเดินหน้ายุทธศาสตร์ธุรกิจยั่งยืน (Sustainable Focus) โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลยุทธ์ที่คำนึงถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย


โดยในปีนี้ทิสโก้ตั้งเป้ายอดสินเชื่อคงค้างเติบโต 0-5% จะหันกลับมาโฟกัสสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่จากยอดขายรถที่คาดจะอยู่ที่ 600,000 คัน จากปีก่อนที่ 570,000 คัน ด้วยการเพิ่มพันธมิตรดีลเลอร์รายใหม่ๆ รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสองที่ราคาเริ่มกระเตื้องขึ้น และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ยังเติบโตได้ดี รวมถึงธุรกิจใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาคือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ และบ้านแลกเงิน(จำนอง) ที่จะทำผ่านสาขาของสมหวัง เงินสั่งได้ ซึ่งในปีนี้จะชะลอการเพิ่มสาขาแล้วหันมาเพิ่มผลิตภัณฑ์เข้าไปแทน เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการหารายได้


สำหรับแนวโน้มสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อาจจะเพิ่มขึ้นบ้างตามกลุ่มธุรกิจที่จะโต แต่ไม่น่าจะถึง 3% จากปี 67 ที่ 2.4% ขณะที่มีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ในปี 2567 อยู่ที่ 16.1% จากปีก่อนหน้าที่ 17.1%


พร้อมกันนั้น ยังคงเดินหน้าเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมทั้งในส่วนของแบงก์แอชชัวรันส์ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาพร้อมกับสินเชื่อรถ รวมถึงจากธุรกิจวาณิชธนกิจ และธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน และจะเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินงาน โดยให้ความสำคัญกับการนำเอาเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยทั้งในด้านการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้ดียิ่งขึ้น


สำหรับความคืบหน้าโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" นั้น นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า ในส่วนของทิสโก้มีผู้เข้ามาติดต่อลงทะเบียนประมาณ 7-8 พันราย โดย 2 ใน 3 เป็นการลงทะเบียนเผื่อไว้ล่วงหน้า ซึ่งหากระบบหลังบ้านมีความพร้อมมากขึ้นธนาคารก็สามารถเชิญให้ลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์มาร่วมได้เอง จะทำให้การปรับโครงสร้างหนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้านผลการดำเนินงานในปี 2567 นั้น นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า กลุ่มทิสโก้ มีกำไรสุทธิ 6,901 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อน 5.5% เนื่องจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.6% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง


ขณะที่รายได้รวมจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น 2.3% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิทรงตัวจากปีก่อนหน้า จากการบริหารผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ แม้ในภาวะที่ต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 30% ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 8.4% จากการรับรู้กำไรจากเงินลงทุน การขยายตัวของธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดยเฉพาะธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และรายได้ธุรกิจวาณิชธนกิจจากการเป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO


ด้านเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวน 232,200 ล้านบาท ลดลง 1.1% จากสิ้นปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่ ซึ่งเป็นไปตามยอดขายรถยนต์ในประเทศที่หดตัวลงกว่า 27% ในขณะที่บริษัทยังคงนโยบายการขยายสินเชื่อในกลุ่มสินเชื่อบรรษัทขนาดใหญ่ และสินเชื่อรายย่อยที่มีอัตราผลตอบแทนสูง ได้แก่ สินเชื่อจำนำทะเบียน สินเชื่อเช่าซื้อรถมือสอง และสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ พร้อมด้วยเพิ่มความรอบคอบและระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ในสภาวะที่เศรษฐกิจยังคงเปราะบาง


สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 2.35% ของสินเชื่อรวม ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมุ่งเน้นการติดตามดูแลลูกหนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมกับการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม ด้วยระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 155.3%


"ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถจะยังปรับตัวลดลงกว่า10% แต่พอร์ตโดยรวมลดลงเพียง 1.1% เท่านั้น แสดงถึงการบริหารจัดการปรับสินเชื่อภายในพอร์ตสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพระดับหนึ่ง ขณะที่ตัวเลขการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหรือ ECL ที่เพิ่มขึ้นสูงนั้น เป็นผลมาจากการปรับการตั้งสำรองให้กลับเข้าระดับปกติที่ประมาณ 1% ของสินเชื่อ หลังจากที่เราลดกันสำรองลงมาต่ำกว่าระดับปกติในช่วงหลังโควิด 19 โดยคาดว่าในปีนี้ก็ยังจะมีการกันสำรองเพิ่มให้ขึ้นมาถึงระดับปกติจากปี 67 ที่ 0.6%"