
ครม.ฟื้นความเชื่อมั่น ไฟเขียวตั้ง Thai ESGX คาดดึงเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้น 1.65 แสนล้านบาท
11 มี.ค. 2568 00:00ครม. อนุมัติกองทุน Thai ESG Extra สร้างความเชื่อมั่นและชะลอขายหุ้น ให้สิทธิหักลดหย่อนได้ 3 แสนบาท และโยกสลับเงินจาก LTF ลดหย่อนได้อีก 3 แสน บวก Thai ESG เดิมอีก 3 แสน รวมลดหย่อนทั้งปี 68 จำนวน 9 แสนบาท คลังระบุทำรัฐสูญเสียรายได้ 4 - 5 หมื่นล้านบาท แลกกับดึงเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้น 1.65 แสนล้านบาท ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. มั่นใจลดแรงขาย LTF ช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทยได้ ขณะที่ดัชนีเด้งรับบวก 10 จุด
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนพิเศษ (Thai ESG Extra Fund : Thai ESGX) ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี โดยที่มาของเงิน แบ่งออกเป็น
วงเงินลดหย่อนที่ 1 สำหรับเงินใหม่ เฉพาะปี 2568 ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท เปิดให้ลงทุนได้ 2 เดือน คาดว่า 1 พ.ค. - 30 มิ.ย. 2568 เพื่อกระตุ้นให้มีเงินใหม่เข้ามาลงทุนเพิ่มโดยเร็ว มีระยะเวลาถือครอง 5 ปี
วงเงินลดหย่อนที่ 2 เปิดให้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เก่ารวม 5 ปี ไม่เกิน 500,000 บาท โดยปีนี้ให้ถือเป็นปีที่ 1 สูงสุด 300,000 บาท ในช่วงเวลา 2 เดือนเดียวกับวงที่ 1 คาดว่า 1 พ.ค. - 30 มิ.ย. 2568 ส่วนปีที่ 2 - 5 ให้สูงสุดปีละ 50,000 บาท มีระยะเวลาถือครอง 5 ปี โดยเงินลงทุนส่วนที่เกิน 500,000 บาททั้งหมดต้องถือครอง 5 ปีด้วย
นอกจากนี้ ในปี 2568 ผู้ลงทุนที่ต้องการลดหย่อนภาษี ก็ยังสามารถลงทุนในกองทุน Thai ESG เดิมได้อีก โดยได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไม่เกิน 30% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินลดหย่อนทั้ง 3 วง สามารถลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 900,000 บาท ในปี 2568
“ปัจจุบันสถานการณ์ในตลาดหุ้นทั่วโลก ถือว่ามีความผันผวนมาก จากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีการปรับขึ้นภาษีกับคู่ค้า ล่าสุดในสหรัฐ ตลาดหุ้นก็ลดลงมาก ทั้งดัชนี Nasdaq และดาวน์โจนส์ ส่วนดัชนีหุ้นปรับตัวลดลง โดยหุ้นไทยเคยลงมาอยู่ในระดับต่ำประมาณ 1,200 จุด ตอนนั้นเราทำกองทุนวายุกภักษ์ ก็สามารถดึงดัชนีขึ้นไปได้ที่ประมาณ 1,400 จุด ก่อนจะปรับลดลงมาที่ระดับ 1,200 จุด และได้รับผลกระทบจากข่าวสารภายนอก รัฐบาลมีแนวคิดว่าในกองทุน ESG มีการเลือกหุ้นที่ดีมีอนาคต การเติบโตที่ยั่งยืน และมีการลงทุนในเทคโนโลยี ซึ่งถือว่ามีโอกาสเติบโตในอนาคต เมื่อมีความชัดเจนเรื่องนโยบายนี้ ก็เชื่อว่าจะสามารถชะลอแรงขายของดัชนีหุ้นลงได้”
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี Thai ESGX จะส่งผลทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ตลอดโครงการประมาณ 40,000 - 50,000 ล้านบาท แต่สามารถดึงเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นได้ประมาณ 1.65 แสนล้าน แบ่งเป็นเงินจากกองทุน LTF ที่จะโยกเข้ามาลงทุน Thai ESGX ประมาณ 75% ของมูลค่าทั้งหมด 1.8 แสนล้านบาท หรือประมาณ 1.35 แสนล้านบาท และเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้าลงทุน Thai ESGX อีก 3 หมื่นล้านบาท
นายอัสสเดช คงสิริ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากมาตรการดังกล่าวจะทำให้ช่วยชะลอการขาย LTF ได้อย่างแน่นอน ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทย ลงไปประมาณ 14% มูลค่าหายไป เกือบ 200,000 ล้านบาท มีหลายปัจจัยที่กระทบค่อนข้างมาก ดังนั้นถือเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับสิ่งที่ ตลท. กำลังดำเนินการ คือ โครงการ Jump Plus ที่สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียน มุ่งเพิ่มมูลค่า ซึ่งจะออกรายละเอียดเร็วๆ นี้ ซึ่งความตั้งใจ คือ อยากให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. จะเสนอคณะกรรมการกำกับตลาดทุน เพื่อพิจารณาหลักการจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX และจะเร่งออกประกาศรองรับ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้ บลจ. ยื่นขออนุมัติจัดตั้ง Thai ESGX ได้ภายในเดือนเมษายน 2568
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวนอกจากจะเป็นการสนับสนุนการลงทุนในกิจการในประเทศที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย โดยใช้กองทุนรวมในตลาดทุนเป็นกลไกที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติด้านความยั่งยืนแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนการออมระยะยาวผ่านการลงทุนในตลาดทุนด้วย
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า มาตรการนี้ไม่เพียงช่วย หยุดการไหลออกของเงินทุนจาก LTF แต่ยังช่วย ดึงเงินลงทุนใหม่เข้าสู่ตลาดทุนไทย เม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาสู่ตลาดจากกองทุน Thai ESGX จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ตลาดหุ้นไทยมีความคึกคักมากขึ้น นักลงทุนที่ถือ LTF ควรตัดสินใจให้เร็ว เพื่อใช้สิทธิทางภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ มาตรการนี้จะมีผลทันทีหลังจากกระทรวงการคลังประกาศใช้ นักลงทุนที่สนใจควรตรวจสอบรายละเอียดและดำเนินการให้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด
ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ในแดนบวกรับข่าวดังกล่าว จากช่วงเช้าที่แกว่งตัวอยู่ในแดนลบ โดยแตะราคาต่ำสุดที่ 1,160.99 จุด สูงสุดที่ 1,189.40 จุด ก่อนจะปิดที่ 1,187.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.19 จุด หรือคิดเป็น 0.87% มูลค่าการซื้อขายรวม 49,570.68 ล้านบาท