
SCB EIC ประเมิน 3 ปัจจัยลบ ฉุดจีดีพีไทยครึ่งปีหลังโตต่ำกว่า 1%
18 มิ.ย. 2568 00:00SCB EIC คงคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้โต 1.5% และปี 69 ที1.4% ขณะที่ครึ่งหลังปี 68 เสี่ยงหลุด 1% จาก 3 ปัจจัยลบรุมเร้าทั้งสงครามการค้าฉุดตัวเลขส่งออก การท่องเที่ยวเริ่มมีปัญหา รวมถึงภาคการผลิตและการลงทุนเอกชนชะลอตัวต่อเนื่อง
นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC คงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ระดับ 1.5% และปี 2569 ที่ 1.4% ซึ่งการเติบโตระดับดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยจีดีพีไทยในช่วงที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ
โดยในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จีดีพีไทยจะโตเฉลี่ยต่ำกว่า 1% และมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคจาก 3 ปัจจัยหลักๆได้แก่ สงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอน ส่งผลต่อการส่งออกที่จะเห็นได้ชัดในครึ่งปีหลัง โดยคาดการณ์ส่งออกทั้งปีที่ -0.1% พร้อมกันนั้น ยังส่งผลให้เกิดภาวะสินค้าราคาถูกจากที่ไหลเข้าไทยซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตไทย
ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น โดย 5 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยลดลง 3% ซึ่ง SCB EIC ปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวลงเหลือ 34.2 ล้านคน จากปี 67 ที่ 35.5 ล้านคน
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเผชิญปัญหาในเรื่องภาคการผลิต - การลงทุนเอกชนที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง จากภาวะความไม่แน่นอนในเรื่องของภาษีสหรัฐฯ ทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุนเพื่อความชัดเจน โดยคาดการณ์การลงทุนภาคเอกชนปีนี้ -2.2%
ขณะที่แผลเป็นทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ มากกว่าที่ควรจะเป็น ได้แก่ หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อการใช้จ่ายยริโภคของครัวเรือน - ธุรกิจ ซึ่ง SCB EIC คาดการณ์การบริโภคภาคเอกชนที่ 2% ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็ยังต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อจากคุณภาพหนี้ที่เสื่อมลง ซึ่งส่งผลเป็นวัฏจักรฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในที่สุด
"ใน 2 ปีนี้ ถือเป็น 2 ปีที่มีความท้าทายมากของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงในหลานๆ มิติ ทั้งจากปัจจัยภายนอกเรื่องของสงครามการค้าที่ยังไม่สรุปออกมา ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศเองก็ยังเป็นประเด็นสำคัญ แม้เราจะเห็นตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ชะลอลง แต่หากดูที่รายได้ครัวเรือนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดฯแล้วอยู่ที่ 98% รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของไทยที่เริ่มเห็นการขยับเพิ่มขึ้น"
ด้านนโยบายการเงินจากแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น โดย EIC SCB ประเมินคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปีหน้า มาอยู่ที่ระดับ 1% ในสิ้นปี 2569
ขณะที่นโยบายการคลังนั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนมาตรการดิจิทัล วอลเลตวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท มาเป็นมาตรการรองรับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อภาพรวม แต่ต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการคัดกรองและยังคงต้องใช้ระยะเวลาในการส่งต่อไปสู่ผู้ได้รับผลกระทบ ประกอบกับพื้นที่ของนโยบายการคลังเริ่มแคบลงจากหนี้สาธารณะที่คาดจะชนเพดาน 70% ใน 2 - 3 ปีข้างหน้า ซึ่งหากมีการก่อหนี้เพิ่มโดยไม่มีแผนที่ดีการหารายได้เพิ่มรองรับในอนาคตก็อาจจะเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิต ดังนั้น ในช่วงนี้เราจะเห็นบทบาทของนโยบายการเงินมากขึ้น
"ปัญหาทางการเมืองที่เริ่มมีการพูดถึง ไม่ว่าเป็นการปรับครม.หรืออื่นๆ นั้น เรามองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งหากมีการจัดการปัญหาให้คลี่คลายด้วยดี ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาได้ ขณะเดียวกัน ทั้งนโยบายการเงิน - การคลังควรดำเนินการควบคู่-สอดคล้องกัน รวมถึงการหากลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ในการสร้างการเติบโต และหากลไกเสริมในการช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง"