
TISCO ESU มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังโตแค่ 0.4% จับตาการเมืองป่วนกระทบจีดีพี
23 มิ.ย. 2568 00:00TISCO ESU ประเมินเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังโตแค่ 0.4% เจอหลายปัจจัยเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศถล่ม และมีโอกาสเกิด Technical Recession กดดันกนง.ลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และปีหน้าสู่ระดับ 0.75% ส่วนสถานการณ์การเมืองหวังคลี่คลายก่อนพิจารณาพรบ.งบประมาณปี 69 ระบุหากล่าช้ามึโอกาสกดจีดีพีหด 1%
นายเมธัส รัตนช้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน กลุ่มทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า ทิสโก้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หรือติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาส โดยไตรมาส 1 เติบโต 3.1% คาดการณ์ไตรมาส 2 เติบโต 2.3% ไตรมาส 3 เติบโต 0.7% และไตรมาส 4 เติบโต 0.1% โดยรวมทั้งปี 68 ที่ 1.6% ครึ่งปีแรกเติบโต 2.7% ครึ่งปีหลังเติบโต 0.4% และปี 69 เติบโต 1.4%
โดยเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากทั้งจากปัจจัยต่างประเทศได้แก่มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกที่จะเห็นชัดเจนขึ้นในครึ่งปีหลังที่มีข้อสรุปในมาตรการภาษีตอบโต้โดยส่งคาดการส่งออกเป็นบวกเล็กน้อยที่ 0.5% รวมถึงปัญหาด้านโครงสร้างของไทยที่มีการสะสมมานานไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนในระดับสูงกดดันการใช้จ่าย ภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่การก่อหนี้ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้คาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะจะชนเพดานที่ 70% จีดีพีในไม่นานนี้ และจะแตะที่ระดับ 80% ของจีดีพีใน 1 -2 ปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่อาจจะทำให้ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับเครดิต จากปัจจุบันที่ 'BBB+' และล่าสุดปัญหาการเมืองไทยที่เพิ่งแทรกเข้ามาในขณะนี้
"ภาคการผลิตไทยซึมมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากแม้ว่าเราจะเห็นถึงตัวเลขการส่งออกไปสหรัฐฯที่สูงสุดขึ้นมากตั้งแต่ปลายปีก่อน แต่ในอีกทางก็คือการนำเข้าจากจีนก็สูงขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น ภาคการผลิตของไทยจึงเติบโตในระดับที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ ก็จะซ้ำเติมภาคการผลิตและผู้ประกอบการ ดังนั้น มาตรการกระตุ้นของภาครัฐในวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท จึงควรให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และขนาดเล็ก ทั้งในด้านสภาพคล่อง รวมถึงการหาตลาดใหม่ เพราะยังมีความท้าทายอยู่อีกมาก หากไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ก็จะกระทบต่อการจ้างงาน จนเกิดเป็นปัญหาการว่างงานตามมา รวมถึงทำมาตรการที่ให้ผลหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้หลายรอบ อย่างโครงการคนละครึ่ง"
สำหรับปัญหาทางการเมืองไทยนั้น นายเมธัส กล่าวว่า ตนมองทางออกทางเมืองไทยในปัจจุบันว่าน่าจะมีการปรับเปลี่ยนโดยมีแนวที่เป็นไปได้ คือ การเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือยุบสภาหลังการพิจารณาร่างงบประมาณประจำปี 2569 ซึ่งกรณีนี้กระทบจีดีพีไม่มากแค่ 0.1 - 0.2% แต่หากเป็นกรณียุบสภา และเลือกตั้งใหม่ก่อนพิจารณาร่างงบประมาณฯจะกระทบกับจีดีพีค่อนข้างมากถึงประมาณ 1% ดังนั้น ปัจจัยการเมืองไทยเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามโดยเฉพาะในช่วง 7 - 14 วันจากนี้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องของสว.ให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายนั้น จากปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามาจากทั้งในและนอกประเทศ จึงมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งๆ ละ 0.25% ในปีนี้ โดยคาดว่าจะลดในการประชุมเดือนสิงหาคม, ไตรมาส 4 และปรับลดในปีหน้าอีก 2 ครั้งๆ ละ 0.25% ลงสู่ระดับ 0.75% ในสิ้นปี 2569 ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากที่แข็งค่าขึ้นค่อนข้างเร็วในช่วงต้นปี โดยคาดว่าจะแตะ 35 บาทในช่วงสิ้นปีนี้ จากทิศทางเงินทุนไหลเข้าที่ลดลง
นายธนภัทร ธนชาต ผู้ช่วยนักวิจัย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธการลงทุน กลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า ในด้านเศรษฐกิจโลกยังเป็นปีที่มีความยากลำบาก ในครึ่งปีหลังจะเหนื่อยกว่าครึ่งปีแรก โดยคาดการณ์ปีนี้เติบโต 2.8% จากปี 67 ที่ 3.3% จากช่วงก่อนหน้าโควิดฯที่ 3.7% โดยในครึ่งปีหลังจะเห็นถึงผลกระทบในวงกว้างจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯอย่างชัดเจน ขณะที่แนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาอย่าง จีน ยุโรป ยังมีโอกาสน้อยเนื่องจากทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯไม่สูงนัก
ส่วนมาตรการภาษีตอบโต้นั้น TISCO ESU มองว่า แม้ทรัมป์จะแพ้คดีในท้ายที่สุด แต่ยังมีเครื่องมือทางกฎหมายอื่นที่สามารถใช้ตั้งกำแพงภาษีได้โดยไม่ต้องพึ่งพา IEEPA เช่น มาตร 122 ซึ่งให้อำนาจในการตั้งภาษีอัตราสูงสุดที่ 15% หรือมาตรา 338 ที่ให้อำนาจตั้งภาษีกับประเทศที่เลือกปฏิบัติกับสินค้าของสหรัฐฯ ได้ในอัตราสูงสุดถึง 50% และแม้มาตรการดังกล่าวจะมีข้อจำกัดด้านระยะยเวลาประมาณ 150 วัน แต่ถือว่าเพียงพอให้รัฐบาลใช้เป็นช่องทางตรวจสอบกลุ่มสินค้าที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ หรือประเทศที่ดำเนินนโยบายการค้าไม่เป็นธรรม หรือเปลี่ยนจากการเจาะจงที่ประเทศมาเป็นการพิจารณาที่กลุ่มสินค้า อาทิ ยา เซมิคอนดักเตอร์ รถบรรทุก แร่ธาตุสำคัญ ทองแดง อุตสาหกรรมต่อเรือ และอาหารทะเล
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้่าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธการลงทุน กลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า จากสภาวะการปัจจุบันโดยพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2 จึงแนะนำลงทุนใน Global Bond และ ทองคำที่สู้อัตราเงินเฟ้อได้ดี รวมถึงทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์และพันธบัตรระยะยาว และกระจายลงทุนไปยังพันธบัตรระยะสั้นและสินค้าโภคภัณฑ์