MENU

เมอร์เคิลฯ เปิดมุมมองหลัง Fed ลดดอกเบี้ย จับตา Bitcoin Ethereum Altcoin เตรียมเข้าสู่รอบใหม่

 19 ก.ย. 2568 00:00

เมอร์เคิล แคปปิตอล จัดสัมมนาพิเศษ “หลัง Fed ปรับดอกเบี้ย : คริปโทฯ จะไปทางไหน” ชี้นโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย โอกาสสำคัญของคริปโทฯ Bitcoin, Ethereum Altcoin รับแรงหนุนจากสภาพคล่องและกระแสเงินทุนไหลอย่างต่อเนื่อง


นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ดำเนินธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ข้อมูลในสัมมนาพิเศษหัวข้อ “หลังFedปรับดอกเบี้ย: คริปโตจะไปทางไหน” ระบุว่า


หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีเมื่อคืนวันที่ 17 กันยายน เป็นสัญญาณของทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น ส่งผลทั้งความเสี่ยงและโอกาสต่อสินทรัพย์การลงทุน โดยเฉพาะตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นไปเพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจ และการตัดสินใจต่อจากนี้จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ตลาดแรงงาน เงินเฟ้อ และภาพรวมการเติบโต (GDP) ขณะที่ตลาดการเงินได้ "Price in" การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ไปแล้ว ทำให้แรงสะเทือนระยะสั้นไม่สูงนัก จึงยังไม่มีผลกระทบที่น่ากังวล


สำหรับการพิจารณา “Dot Plot” หรือคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคต ที่สมาชิก Fed ประเมินไว้ เสียงส่วนใหญ่ชี้ว่า มีโอกาสลดดอกเบี้ยต่ออีกในปีนี้ และยังมีความเป็นไปได้ของการลดเพิ่มเติมในปี 2026 สะท้อนความไม่แน่นอนด้านเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน ขณะที่ค่า “ระยะยาว” (longer-run) อยู่ที่ 3% บ่งชี้ว่าตลาดกำลังเข้าใกล้ “โซนดอกเบี้ยต่ำสุด” โดยกลไกตลาดมักหนุนการเปิดรับความเสี่ยงของนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งหากปีหน้าการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นไม่ครบตามที่นักลงทุนคาดหวัง อาจเกิดความผันผวนระยะสั้น แต่ในระยะยาว สภาพคล่องที่ผ่อนคลายมากขึ้นยังเป็นปัจจัยสนับสนุนวงจรสินทรัพย์เสี่ยง


ด้านมหภาค Fed มองว่าโอกาสถดถอยของ GDP ในปี 2025 – 2026 ไม่ได้สูงเท่าที่กังวลในช่วงกลางปีที่ผ่านมา แต่ต้องติดตามเงินเฟ้อและอัตราว่างงานซึ่งยังเป็นโจทย์ท้าทาย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ที่ข้อมูลรายเดือนจะมีผลต่อความคาดหวังตลอดปี 2026 การลงทุนในระยะสั้นจึงควรติดตามข้อมูลรายสัปดาห์และรายเดือนอย่างใกล้ชิด สำหรับการลงทุนระยะกลางจับตาการประชุมต้นปีหน้าที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ “Dot Plot” รอบใหม่ และระยะยาวประเมินความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยจะลงสู่กรอบ 2.75 – 3% ซึ่งเป็นระดับที่เอื้อต่อสภาพคล่องตลาดทุนโดยรวม


สำหรับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี มองว่าปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากกระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF ของ Bitcoin และ Ethereum ที่ทำสถิติใหม่ในเดือนกันยายน สะท้อนความเชื่อมั่นของเม็ดเงินสถาบัน นอกจากนี้ ความสนใจของนักลงทุนสินทรัพย์สูง (HNWI) ทั่วโลกยังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยเชิงโครงสร้างต่อระบบนิเวศบล็อกเชนในระยะยาว ขณะเดียวกัน กฎเกณฑ์ด้าน “Generic Listing Standard” ที่เอื้อให้การยื่นขออนุมัติ ETF ทำได้เป็นกลุ่มมากขึ้น จะช่วยลดต้นทุนและเวลา เพิ่มช่องทางเข้าถึงของนักลงทุนแบบดั้งเดิม และเร่งการเติบโตของผลิตภัณฑ์คริปโทในรอบทศวรรษถัดไป


ในเชิงกลยุทธ์ประเมินว่าช่วงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน เหมาะต่อการทยอยสะสมสินทรัพย์ โดยมีสัญญาณเชิงบวกของการหมุนเงินจาก Bitcoin สู่ Ethereum และกลุ่ม Altcoin ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Layer1 ที่เริ่มฟื้นตัว ทั้งนี้ สถานะภาพรวมถือว่ามีสุขภาพดี จากระดับเลเวอเรจที่ไม่สูงเกินไป ขณะที่ตัวชี้วัดอย่าง MVRV ของ Bitcoin ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีก 20 - 30% ก่อนที่จะถึงจุดเสี่ยง โดย Bitcoin อาจมีโอกาสลงไปแตะ $113,000 ในระยะสั้น แต่ในระยะกลางถึงยาว มีโอกาสปรับตัวขึ้นจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง


ด้าน Ethereum หากกองทุนประเภท Staking ETF ได้รับการอนุมัติในอนาคต จะเป็นการยกระดับ พื้นฐานของ Ethereum อีกขั้นหนึ่งที่สำคัญกว่า Spot ETF เพราะนักลงทุนแบบ Traditional ชอบการที่เงินต้นไม่หายและได้ผลตอบแทน (Staking Yield 3 - 5%) ในระยะยาว 10 - 20 ปี อาจทำให้ราคา Ethereum ไปถึงหลัก $30,000 - 50,000 ได้


ภาพรวมไตรมาส 3 - 4 ของปีนี้ เป็นช่วงที่ตลาดคริปโทฯ มีโอกาสเชิงรุกจากนโยบายการเงินที่เริ่มผ่อนคลาย กระแสเงินผ่าน ETF และโครงสร้างดีมานด์ที่แข็งแรง แต่ผู้ลงทุนควรเฝ้าระวังความไม่แน่นอนของนโยบายดอกเบี้ยในปีหน้าและความเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบันของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบความเชื่อมั่นเป็นระยะ ทั้งนี้ เมอร์เคิล แคปปิตอล แนะนำให้เน้นวินัยการลงทุน การกระจายพอร์ต และการติดตามข้อมูลมหภาคอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาส ขณะควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม