MENU

KKP กำไรสุทธิ Q3/68 โต 28% ค่าฟีพุ่ง-ยอดขาดทุนรถยึดกระเตื้อง

 20 ต.ค. 2568 00:00

ธนาคารเกียรตินาคินภัทรและบริษัทย่อยรายงาน (KKP) กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2568 จำนวน 1,670 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28.0 และงวดเก้าเดือนกำไรสุทธิรวม 4,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 เป็นผลมาจากมาตรการบริหารคุณภาพสินเชื่อ ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อโดยรวมปรับตัวดีขึ้น รวมถึงผลขาดทุนจากการขายรถยึดที่ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง


โดยรายได้จากการดำเนินงานรวมยังสามารถทำได้ในระดับที่ดีเช่นกันจากการที่มีการกระจายรายได้ในหลายธุรกิจ โดยเฉพาะรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 3 มีจำนวน 2,496 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นในระดับที่ดีที่ร้อยละ 49.7 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทางด้านรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นในส่วนของรายได้ที่เกิดจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจการจัดการกองทุน รายได้ค่านายหน้าขายประกันที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงรายได้ที่เกิดจากธุรกิจไดม์ (Dime!) ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด


การเพิ่มขึ้นดังกล่าวช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารที่ยังคงปรับลดลง ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของสินเชื่อภายใต้มาตรการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่เน้นการปล่อยสินเชื่อไปในประเภทที่มีคุณภาพสูง รวมถึงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" รวมถึงทิศทางการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ย


ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 สินเชื่อรวมของธนาคารจำนวน 345,549 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.0 จากสิ้นปีก่อน ซึ่งยังคงเป็นไปตามแผนการของธนาคารในการระมัดระวังการเติบโตของสินเชื่อภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอน รวมถึงความท้าทายในอุตสาหกรรมรถยนต์


ด้านคุณภาพสินเชื่อโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมทรงตัว อยู่ที่ร้อยละ 4.3 สำหรับไตรมาส 3/2568 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ผลขาดทุนจากการขายรถยึดยังคงปรับลดลงอย่าง ต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธนาคารยังคงดำเนินการอย่างระมัดระวังในการพิจารณาตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสม โดยมีการสำรองผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับไตรมาส 3/2568 เป็นจำนวน 909 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ได้รวมการพิจารณาตั้งสำรองพิเศษ (Management Overlay) เพิ่มเติมเพื่อเป็นการรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความ ไม่แน่นอนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อ รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่งผลให้อัตราส่วนค่า เผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 136.6


ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานนั้น มีอัตราลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการลดลงของผลขาดทุนจากการขายรถยึดที่ลดลง 53.2% ในไตรมาส 3 ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมแล้วสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 46.6 ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 44.0 โดยหลักจากรายได้ที่ปรับตัวลดลง


ขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น มีจำนวน 2,985 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 2.4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและรายการขาดทุนจากการขายรถยึด (credit cost) คิดเป็นอัตราร้อยละ 1.82 ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้ โดยปรับลดลงจากร้อยละ 2.35 จากงวดเก้าเดือนของปี 2567 เป็นผลจากมาตรการบริหารคุณภาพสินเชื่อที่ธนาคารได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อโดยรวมทยอยปรับตัวดีขึ้น


สำหรับโครงการซื้อหุ้นคืนโครงการ 2 ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการธนาคารในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 โดยมีระยะเวลาซื้อหุ้นคืนในช่วงระหว่างวันที่ 4 กันยายน 2568 – 2 มีนาคม 2569 ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 ธนาคารได้ทำการซื้อหุ้นคืนภายใต้โครงการ ดังกล่าวไปแล้วเป็นจำนวน 5.3 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 315 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการซื้อหุ้นคืนโครงการ 1 ที่ได้สิ้นสุดในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ธนาคารได้ซื้อหุ้นซื้อคืนเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 24.3 ล้านหุ้น มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,264 ล้านบาท และธนาคารได้มีการจัดสรรกำไรสะสมไว้เป็นสำรองหุ้นทุนซื้อคืนในจำนวนเดียวกัน