
PTG โชว์ Q3/68 กำไรสุทธิ 211 ล้าน เพิ่มขึ้น 185% อานิสงส์ธุรกิจ Non-Oil โตต่อเนื่อง
15 พ.ย. 2568 00:00
บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) โชว์ไตรมาส 3/2568 กำไรสุทธิ 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.4% รายได้จากการขายและการให้บริการ 53,706 ล้านบาท รับอานิสงส์ธุรกิจ Non-Oil ที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 6,113 ล้านบาท ประกาศคงเป้ารายได้ธุรกิจ Non-Oil โต 30 - 40%
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568) ของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 185.4% กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานที่ 0.12 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 192.2% ซึ่งการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมาจากการขยายตัวของกำไรขั้นต้นและสัดส่วนรายได้ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นต่อลิตรในธุรกิจ Oil และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ดีขึ้น
สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการไตรมาส 3/2568 มีจำนวน 53,706 ล้านบาท ลดลง 1.3% ปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil มีราคาขายปลีกเฉลี่ยลดลง 5.8% ตามภาวะราคาน้ำมันโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำ ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของกลุ่ม โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 6,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.8%
ทั้งนี้ นำโดยธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่มีรายได้เติบโตกว่า 3 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 163.3% เป็น 1,508 ล้านบาท จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเป็น 1,885 สาขา เพิ่มขึ้น 67.4% หรือคิดเป็น 759 สาขา เทียบเท่ากับอัตราการขยายมากกว่า 2 สาขาต่อวันและยอดขายจากสาขาเดิม (Same-Store-Sales) ที่เติบโตต่อเนื่องในระดับ 40–50%
นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาแบรนด์ในเชิงคุณภาพ และมุ่งเน้นการพัฒนาเมนูที่มีเอกลักษณ์และเพิ่มทางเลือกในการปรับแต่งเมนูเครื่องดื่ม (DIY) เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค และเสริมด้วยฐานลูกค้าสมาชิก PT Max Card แล ะPT Max Card Plus ที่มีความแข็งแกร่งในการใช้บริการภายใต้ ระบบนิเวศ Max World ที่ยังคงกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ไทยที่สามารถเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ขณะที่กำไรขั้นต้น (Gross Profit) เท่ากับ 4,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% ได้แรงหนุนจากรายได้ธุรกิจ Non-Oil ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่สูงถึง 39.3% ขณะที่ธุรกิจ Oil มีกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันที่เหมาะสม
สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการธุรกิจ Oil ไตรมาส 3/2568 มีจำนวน 47,593 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,591 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 0.9% และแม้การขยายสถานีบริการจะเติบโตเพียง 1.3% มาอยู่ที่ 2,250 สถานี แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตเชิงคุณภาพ โดยเน้นการปรับปรุงสถานีเดิมให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในช่องทางค้าปลีกเป็น 21.5% ในไตรมาสนี้
ส่วนธุรกิจก๊าซ LPG มีรายได้ 2,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% ซึ่งปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโต 6.2% เป็น 104 ล้านกิโลกรัม อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มของปริมาณการจัดจำหน่ายหน่ายก๊าซ LPG ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับที่ 1 ในไตรมาส 3/2568 ที่ 32.6%
นายพิทักษ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเดินพัฒนาธุรกิจ Non-Oil ให้มีความหลากหลาย ผ่านแบรนด์ในเครือ อาทิ สถานีบริการก๊าซ LPG และก๊าซหุงต้ม PT, Max Mart, Coffee World, Subway, Autobacs, Max Camp, Maxnitron, EleX by EGAT PT รวมถึงสถานีบริการรูปแบบใหม่ GIGA EV จากฐานลูกค้าสมาชิกรวมกว่า 27 ล้านรายทั่วประเทศ เป็นกลไกหลักสนับสนุนการเติบโต
บริษัทฯ ยังคงประมาณการรายได้จากธุรกิจ Non-Oil ทั้งปีจะเติบโตอยู่ในช่วง 30 – 40% และคาดสัดส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 35 – 40% โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 35.9% ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประมาณการดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการขยาย Non-Oil Touchpoints ให้ครบ 3,634 สาขาภายในสิ้นปี 2568
ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในไตรมาส 4/2568 คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศคาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัว จากมาตรการการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” จากภาครัฐ โดยบริษัทฯ ยังคงเป้าการเติบโตของปริมาณจำหน่ายน้ำมันปี 2568 อยู่ในกรอบ 1 – 3% และตั้งเป้าขยายสถานีบริการให้ครบ 2,279 สถานีภายในสิ้นปี 2568 โดยมุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐานการให้บริการและการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านระบบสมาชิก เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงของส่วนแบ่งตลาดในภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงท้าทาย
“บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ด้วยการสร้างโอกาสในการทำงาน ยกระดับคุณภาพชีวิต และสนับสนุนการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “อยู่ดี มีสุข” ซึ่งไม่เพียงแต่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสนับสนุนการเติบโตขององค์กรในระยะยาว”




ยอมรับการใช้งานคุกกี้ เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ การใช้งานที่ดีที่สุด