MENU

“NTF” เคาะ IPO หุ้นละ 6 บาท เปิดจองซื้อ 4 - 9 ธ.ค. ก่อนลงสนามเทรด mai สิ้นปี

 2 ธ.ค. 2568 00:00

บมจ.เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (NTF) แต่งตั้งอันเดอร์ไรท์เตอร์ เสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น เคาะราคาหุ้นละ 6.00 บาท จองซื้อ 4 ธ.ค. และ 8 - 9 ธ.ค. นี้ คาดเข้าซื้อขายใน mai ปิดท้ายปลายปี 68 ระบุเป็นบริษัทส่งออกผลไม้สดรายแรกที่เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ฯ มั่นใจนักลงทุนสนใจ จากศักยภาพการเติบโตสูง พร้อมโอกาสสร้างยอดขายในต่างประเทศต่อเนื่อง


นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายของ บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NTF เปิดเผยว่า NTF ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 60,000,000 หุ้น โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จํากัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย


โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ไว้ที่ 6.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 5.7 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568) ซึ่งเท่ากับ 209.4 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดของ NTF ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 200 ล้านหุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 1.05 บาท ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (หมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หรือ AGRO) สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตและความน่าสนใจของหุ้น NTF ในเชิงมูลค่า


ทั้งนี้ NTF บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ โดยจะเปิดจองซื้อ IPO ในวันที่ 4 ธันวาคม และ 8 - 9 ธันวาคม 2568 คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือนธันวาคมนี้ ภายใต้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “NTF”


สำหรับอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิดังกล่าว คำนวณจากผลประกอบการและปัจจัยพื้นฐานธุรกิจของ NTF ในการดำเนินธุรกิจส่งออกผลไม้เกรดพรีเมียม ได้แก่ ทุเรียน มะพร้าว ลำไย และผลไม้อื่นๆ รวมถึงทุเรียนแกะเนื้อและทุเรียนแช่แข็งไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ ส่งผลทำให้ยอดขายมีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง สะท้อนจากผลการดำเนินงานล่าสุดที่ NTF มีรายได้จากการขาย 9 เดือน ปี 2568 อยู่ที่ 2,107 ล้านบาท กำไรสุทธิ 203 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.6% ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมและกำไรสุทธิทั้งปีตั้งแต่ปี 2565 - 2567 ที่มีรายได้จากการขายเท่ากับ 347 ล้านบาท 563 ล้านบาท และ 1,115 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิเท่ากับ 8 ล้านบาท 23 ล้านบาท และ 64 ล้านบาท ตามลำดับ


ขณะที่ในปี 2568 ทั้งปี NTF มีเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ประมาณ 2,900 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อล่วงหน้าตามความต้องการผลไม้ไทยที่เพิ่มขึ้นในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ตลาดค้าขายผลไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก


นายวิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NTF กล่าวว่า NTF มุ่งเน้นการส่งออกผลไม้คุณภาพ โดยมีรายได้หลักมาจากการจำหน่ายสินค้าในตลาดเกรดพรีเมียมเป็นหลัก เนื่องจากมีกำลังซื้อสูงและค่อนข้างเสถียรในทุกสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ รูปทรงสวย รสชาติ มากกว่าเรื่องราคา ส่งผลต่อมาร์จิ้นการขาย (กำไรขั้นต้น) ที่ดีกว่า โดยเฉพาะในประเทศจีนตลาดจำหน่ายผลไม้ขนาดใหญ่ที่มีความต้องการบริโภคผลไม้ไทยในระดับสูงและต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าของ NTF เป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมของผู้บริโภคในตลาดจีนที่ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะทุเรียนที่ครองตำแหน่งสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง และการส่งออกของ NTF กว่า 97% เป็นทุเรียนสด รองลงมา คือ มะพร้าว ลำไย และผลไม้อื่นๆ รวมถึงทุเรียนแกะเนื้อ และทุเรียนแช่แข็ง ในช่วง 9M2568 NTF มีสัดส่วนการส่งออกทุเรียนสดไปประเทศจีนประมาณ 11,320 ตัน คิดเป็นประมาณ 1.3% ของปริมาณการนำเข้าทุเรียนสดของจีนจากประเทศไทยที่มีปริมาณประมาณ 900,000 ตัน ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด แสดงให้เห็นถึงช่องทางในการขยายการส่งออกทุเรียนของไทยที่ยังมีอีกจำนวนมาก


“ที่ผ่านมา NTF มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ทำให้ยังไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ทันตามความต้องการของตลาด หากพิจารณาดู Cash Cycle ของ NTF ที่ประมาณ 41 วัน แสดงว่าสามารถเปลี่ยนเงินทุนหมุนเวียนเป็นยอดขายได้ 9 รอบต่อปี เงินทุนหมุนเวียนจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ NTF เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินในการเพิ่มวงเงินให้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถรองรับความต้องการของตลาดได้ทั้งหมด การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพด้านเงินทุน รวมถึงเปิดทางให้ NTF สามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ยกระดับการผลิต และวางรากฐานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดย NTF วางแผนนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับระบบการผลิต ตั้งแต่ขั้นตอนคัดเกรดไปจนถึงการบรรจุผลไม้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาในการผลิตลงมากกว่า 50% และยกระดับความแม่นยำในการตรวจสอบคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยให้ NTF สามารถเพิ่มปริมาณการผลิต รองรับความต้องการส่งออกที่เพิ่มขึ้น และสร้างความสามารถในการเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่องในอนาคต” นายวิชัย กล่าว