MENU

“SCB – ฮั่วเซ่งเฮง” มองปี 69 ทองคำยังขาขึ้น - แนะลงทุนตปท.ผ่านบัญชี FCD ช่วยบริหารความเสี่ยง

 4 ธ.ค. 2568 00:00

SCB WEALTH จัดสัมมนาในหัวข้อ Golden Portfolio Defense in a Volatile Era : ทองคำ สมอเรือแห่งพอร์ตการลงทุนยุคผันผวน ในงาน SCB WEALTH : Holistic Wealth Forum 2025 ภายใต้ธีม Storm Shift "ฮั่วเซ่งเฮง" ประเมิน ทองคำในปี 2569 ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก คาดราคาอาจมีโอกาสแตะระดับ 4,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์


ขณะที่ SCBFM คาดค่าเงินบาทปีหน้าจะผันผวนอยู่ในกรอบ 33.00 - 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แนะนักลงทุนกระจายเสี่ยงในสินทรัพย์ต่างประเทศ และพิจารณาเปิดบัญชี FCD เพื่อบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยในงานสัมมนา SCB WEALTH : Holistic Wealth Forum 2025 ภายใต้ธีม Storm Shift ในหัวข้อ Golden Portfolio Defense in a Volatile Era : ทองคำ สมอเรื่องแห่งพอร์ตการลงทุนยุคผันผวน ว่า ราคาทองคำต่างประเทศ ในปี 2568 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ระดับ 4,381 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ให้ผลตอบแทนสูงถึง 67% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 46 ปี ขณะที่ราคาทองคำในประเทศไทย แตะระดับสูงสุดที่ 67,400 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 59% สำหรับแนวโน้มภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าราคาทองคำโลกจะเคลื่อนไหวบริเวณ 4,200 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์


ส่วนในปี 2569 แม้ว่าราคาทองคำจะอยู่ในระดับสูงแล้ว แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำขยับขึ้นต่อได้ เพียงแต่ผลตอบแทนอาจไม่ได้สูงเท่ากับในปี 2568 โดยคาดว่าราคาทองคำโลก สิ้นปี 2569 อาจมีโอกาสแตะที่ระดับ 4,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์


ทั้งนี้ จากมุมมอง 11 สถาบันการเงินชั้นนำของโลก มองว่า ราคาทองคำในตลาดโลกปี 2569 ยังมีโอกาสขึ้นสู่ระดับ 4,500 - 5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หาก 3 ปัจจัยนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน อันได้แก่ 1. ความไม่แน่นอนของมาตการตอบโต้ภาษีการค้า 2. การเข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และ 3. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ถูกแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ปัจจัยเพิ่มเติมที่หนุนราคาทองคำ ได้แก่ หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น และกระแสความพยายามลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯทั่วโลก


ดังนั้น ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนได้ดีในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวน แต่หากสะสมทองคำมากเกินไปก็อาจจะทำให้เสียโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ แม้ในปีนี้ทองคำจะให้ผลตอบแทนสูง แต่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตในระยะยาว ไม่ใช่ให้ผลตอบแทนกว่า 60% ต่อปีแบบนี้ทุกปี ดังนั้น ไม่แนะนำให้นักลงทุนกระโดดเข้าไปลงทุนในช่วงที่ราคาสูง อาจทยอยเข้าซื้อในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 3,700 - 3,800 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์


“นักลงทุนไม่ควรเพิ่มสัดส่วนทองคำมากเกินไป เพราะอาจทำให้เสียโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ และไม่ควรไล่ซื้อในช่วงราคาสูง มองว่า ช่วง 3,700 - 3,800 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ เป็นระดับที่เหมาะสมในการทยอยสะสม” นายธนรัชต์ กล่าว


นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets : SCB FM) กล่าวถึง แนวโน้มค่าเงินบาท ว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าอีกเล็กน้อย เนื่องจาก 1. เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปลายปี 2. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ในเดือนธันวาคม และ 3. สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้น หนุนให้บาทแข็งค่าตามได้


ส่วนในปี 2569 มองว่าเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าได้ เนื่องจาก 1. ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากเทรนการลงทุนด้าน AI ที่จะดำเนินต่อไป หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ 2. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในปีหน้าและ 3. ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลง รวมถึงผลของราคาทองคำต่อเงินบาทอาจมีน้อยลง โดยมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปี 2569 อยู่ที่ประมาณ 33.00 - 34.00 บาท


"ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาลง ทองคำมักให้ผลตอบแทนได้ดี เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ อีกทั้งราคาทองคำในตลาดโลกและเงินบาทมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง กล่าวคือ เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าตาม จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำด้วยสกุลเงินบาทแตกต่างจากการลงทุนทองคำด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ"


อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยยังเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก (Home Bias) โดยลงทุนในต่างประเทศเพียง 10% ของเงินลงทุนรวมทั้งหมด ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกมากกว่า 20% จึงขอแนะนำให้กระจายพอร์ตไปยังสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน การเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ (FCD) เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ลงทุนบริหารสกุลเงินได้อย่างยืดหยุ่น โดย ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568 พบว่า มูลค่าเงินฝากในบัญชี FCD ของไทย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 จำนวนบัญชีเพิ่มจาก 120,000 บัญชี เป็น 7.2 ล้านบัญชี