MENU

CGSI ตั้งเป้าดัชนี SET สิ้นปี 69 ที่ 1,400 จุด ครึ่งปีแรกการเมืองกดดัน ก่อนฟื้นตัวครึ่งปีหลัง

 8 ธ.ค. 2568 00:00

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ตั้งเป้าดัชนี SET สิ้นปี 69 ที่ 1,400 จุด ประเมินครึ่งปีแรกหุ้นไทยยังถูกกดดันจากการเมืองในประเทศ ก่อนจะฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งปีหลัง จากการเมืองชัดเจน รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยลด เงินทุนต่างชาติไหลเข้าหลัง Valuation น่าสนใจ ขณะที่ธุรกิจโบรกเกอร์ยังต้องเผชิญความท้ายทาย ปีหน้าอาจเห็นการควบรวมกิจการ (M&A)


นายพัชระนนท์ ชีวะเกรียงไกรประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยในงาน Analysts meet Media Outlook 2026 เพื่อนำเสนอมุมมองของทีมนักวิเคราะห์ CGSI ต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2569 ว่า ปี 2568 นี้เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศ ภาษีสหรัฐ ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูง และกระทบต่อเศรษฐกิจ ในปีหน้าปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะยังฉุดรั้งตลาดหุ้นไทยอยู่ แต่ยังมีความหวังจากการเมืองที่จะชัดเจนขึ้น หลังมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้า


“ปีนี้ธุรกิจหลักทรัพย์เผชิญกับความยากลำบาก ปีหน้ายังไม่สดใสนัก เราเองในปีนี้เร่งปรับตัว รุกธุรกิจไปในสายต่างๆ อย่างวาณิชธนกิจ และบริการการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ด้วยจุดแข็งจากการมีเครือข่ายและพันธมิตรทั่วโลก ในปีหน้าจะเห็นความร่วมมือระหว่าง CGSI กับบริษัทแม่ของเรา China Galaxy Securities และพันธมิตรมากขึ้น”


นายพัชระนนท์ กล่าวเพิ่มเติมถึง แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์ ในปี 2569 ว่า ธุรกิจโบรกเกอร์ยังคงต้องเผชิญกับความท้าท้าย จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักทรัพย์ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้มีการควบรวมกิจการ (M&A) โดยเฉพาะโบรกเกอร์ที่ไม่มีสถาบันการเงินสนับสนุน รวมถึงโบรกเกอร์บางรายที่มีใบอนุญาตไม่ครบ


"ในปี 68 ธุรกิจ Private Fund ของบริษัทนับว่าโดดเด่นและโตแบบก้าวกระโดด กลยุทธ์เน้นกองทุนลงทุนหุ้นจีน คัดลงทุนหุ้นเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มดีให้ผลตอบแทนสูงเพียง 6 - 7 ตัว ในปี 67 ที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้กว่า 60% ขณะที่ปีนี้ช่วงพีคสุดผลตอบแทนแตะระดับที่ 90% ก่อนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 70% ทำให้ AUM โตขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท จากปี 67 อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทเท่านั้น" นายพัชระนนท์ กล่าว


นายเกษม พันธ์รัตนมาลา ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ CGSI เปิดเผยว่า ในปี 2569 คาดดัชนี SET สิ้นปีอยู่ที่ 1,400 จุด เท่ากับ P/E 15 เท่าในปี 2570 หรือ -0.75SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี ทั้งนี้ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่ P/E 15 เท่าปี 2568 หรือ P/E 13 เท่าหากตัด DELTA ออก จึงสะท้อนโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ ขณะที่ตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคมาตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา


“Valuation หุ้นบ้านเราน่าสนใจ ตอนนี้ถ้าตัด DELTA ออก จะเทรด P/E ที่ 13 เท่า สามปีแล้วที่หุ้นไทย Underperform ตลาดในภูมิภาค จึงมองว่าปีหน้านี้ หุ้นไทยน่าจะมีโอกาส rebound ได้”


นายเกษม มองว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2569 หุ้นไทยจะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยนายกรัฐมนตรีมีแผนยุบสภาเดือนมกราคม 2569 จากนั้นจะมีการเลือกตั้งปลายเดือนมีนาคม และรัฐบาลใหม่น่าจะเริ่มทำงานปลายเดือนพฤษภาคม - ต้นเดือนมิถุนาย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองซับซ้อนขึ้น หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้กระทบคะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย เท่ากับเปิดความเสี่ยงให้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสม มองว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรคภูมิใจไทยจะจับมือพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล


"หุ้นไทยจะฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง 2569 หลังมีรัฐบาลใหม่หนุนความเชื่อมั่นและเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาบริหารกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญๆ ก็จะยิ่งหนุนความเชื่อมั่นมากขึ้น นอกจากนี้ หุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย หลังตั้งแต่ปี 2566 มีเงินทุนไหลออกสูงถึง 4.53 แสนล้านบาท"


กลยุทธ์การลงทุนในปี 2569 ช่วงครึ่งปีแรก แนะเลือกลงทุนหุ้น Defensive เนื่องจากเป็นหุ้นที่ปลอดภัย และช่วงครึ่งปีหลังให้เพิ่มการลงทุนหุ้นวัฏจักรที่อิงกับกระแสการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยหุ้น Top Picks ประกอบด้วย ADVANC, BCPG, BDMS, CPN, MOSHI, MTC, PR9, SCB และ TRUE


ทั้งนี้ มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปีหน้า จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป GDP จะเติบโตเพียง 1.9% จากที่คาด 2.0% ในปีนี้ เนื่องจากการลงทุนขนาดใหญ่ถูกชะลอจนกว่าจะประกาศผลการเลือกตั้ง เชื่อว่าหากรัฐบาลชุดปัจจุบันได้เป็นรัฐบาลอีก โครงการคนละครึ่งก็จะเดินหน้าต่อ ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำ ทำให้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยคาดอัตราดอกเบี้ยสุดท้าย (terminal rate) จะอยู่ที่ 0.75% ในปี 2569


กลุ่มอสังหาฯ กำไรจากการดำเนินงานปี 69 โต 14%


สำหรับหุ้นรายกลุ่ม เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโต 14% yoy ในปี 2569 จากฐานที่ต่ำในปีนี้ มองว่าตลาดคอนโดมิเนียมผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2/2568 ช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เห็นความต้องการคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น และจะฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบปีหน้าจะลดลง ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีแรงขับเคลื่อนจากการกระจายฐานการผลิตตามกลยุทธ์China Plus One (China+1) ซึ่งประเทศในอาเซียนเป็นจุดหมายที่นักลงทุนจีนและบริษัทข้ามชาติเลือกตั้งโรงงาน คาดว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะมีกำไรปกติเติบโต 3.1% ในปี 2569


ค้าปลีก ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน


กลุ่มค้าปลีก แนวโน้มปี 2569 ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน การจับจ่ายที่เพิ่มขึ้นช่วงปลายปีนี้มาจากโครงการคนละครึ่งและเที่ยวดีมีคืนกระตุ้นระยะสั้น ไม่สามารถสร้างโมเมนตัมต่อไปปีหน้าได้ ขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ ยังกดดันต่ออุปสงค์ระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดกำไรผู้ค้าปลีกจะโต 7.9% ในปี 2569 แม้ดีขึ้นจากปีนี้ แต่ไม่มากพอที่จะหนุนกลุ่มค้าปลีกขึ้นมาซื้อขาย P/E ที่สูงขึ้นได้ แนะนำเลือกลงทุนเฉพาะบริษัทที่เห็นแนวโน้มการเติบโตที่ชัดเจน


ธนาคารพาณิชย์ สินเชื่อโต 1.1 - 2.0% แนะคงน้ำหนักการลงทุน


กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในปี 2569 - 2570 สินเชื่อน่าจะขยายตัวเพียง 1.1 - 2.0% จากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และ GDP ที่เติบโตชะลอตัว ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรก่อนตั้งสำรองคาดไว้ที่ -3.0% ในปี 2569 และ +1.6% ในปี 2570 ส่วน ROE โดยรวมคาดจะอยู่ที่ 8.9 - 9.3% ในปี 2569 - 2570 แนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคาร เพราะกลุ่มนี้ขาดปัจจัยบวกระยะสั้น แต่ยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง โดยกลุ่มธนาคารซื้อขายที่ P/BV 0.68 เท่าในปี 2569 หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตห้าปีที่ 0.64 เท่าเล็กน้อย


เพิ่มน้ำหนักลงทุนกลุ่มโทรคมนาคม


กลุ่มโทรคมนาคม เชื่อว่าปริมาณการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจะเปิดโอกาสให้บริษัทโทรคมนาคมไทยใช้กลยุทธ์ upsell ซึ่งจะทำให้รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) ของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลุ่มโทรคมนาคม เนื่องจาก ARPU จะเข้าสู่วงจรการเติบโตด้วยแรงขับเคลื่อนจากปริมาณการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งาน AI smartphone และ AI app และการประเมินมูลค่ากลุ่มโทรคมนาคมที่ EV/EBITDA 8 เท่าในปี 2569 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ยังไม่สะท้อนการเติบโตของ ARPU


ราคาน้ำมันยังเผชิญแรงกดดัน


กลุ่มพลังงาน แม้กลุ่ม OPEC+ เดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตสำรอง แต่คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันต่อ เพราะประเทศกลุ่ม non-OPEC ยังคงเพิ่มปริมาณการผลิต ส่งผลให้ตลาดมีอุปทานน้ำมันส่วนเกินกดดันราคา สำหรับก๊าซธรรมชาติและ LNG คาดว่าปี 2569 ความต้องการ LNG ทั่วโลกจะเติบโตราว 2% yoy หนุนด้วยการฟื้นตัวของอุปสงค์ในจีน และความต้องการก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นในปี 2569 ค่าการกลั่นตลาดมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ช่วงต้นปี 2569 ส่วนต่างราคาดีเซลอาจทรงตัวระดับสูงจากภาวะอุปทานที่ยังตึงตัว ตามการลดลงของการส่งออกจากรัสเซีย และการปิดโรงกลั่นในหลายภูมิภาคทั่วโลก


กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่ากำลังการผลิตรอบใหม่จะเริ่มทะลักเข้าสู่ตลาดตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2568 เป็นต้นไป โดยกำลังการผลิตเอทิลีนทั่วโลกมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจนถึงปี 2571 ขณะที่การฟื้นตัวของสเปรดอาจต้องรออีก 1-2 ปีหลังจากนั้น ดังนั้นประเมินว่าจำเป็นต้องมีการประกาศปิดกำลังการผลิตรวมราว 11 ล้านตันต่อปีในช่วงปี 2569 - 2571 ในการทำให้ตลาดเอทิลีนโลกกลับเข้าสู่จุดสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน


กลุ่มอาหารรายได้แนวโน้มชะลอตัว


กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร (สุกร, เนื้อไก่) ในปี 2569 คาดภาพรวมรายได้มีแนวโน้มชะลอตัว ราคาสุกรมีทิศทางอ่อนตัว ขณะที่เนื้อไก่จะได้รับแรงหนุนจากการบริโภค เพราะเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าในภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลง yoy สะท้อนผลกระทบจากราคาสุกรที่อ่อนตัวและยอดขายสาขาเดิมที่ชะลอ ในปีหน้ามองว่าความต้องการในประเทศจะอ่อนแอและความอ่อนไหวต่อราคาจะกดดันการบริโภคโปรตีน ซึ่งผู้ผลิตที่มีโมเดลค้าปลีกหรือเน้นส่งออกจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า ขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่บางรายเผชิญความเสี่ยงจากมาร์จิ้นที่ลดลง


กลุ่มเทค เน้นลงทุนบริษัทที่มีศักยภาพการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด


กลุ่มเทค การเร่งลงทุนในระบบพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น compute, memory, networking, power และ cooling เพื่อรองรับความต้องการของ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ยังคงเป็นแกนหลักของธีมเทคโลกในปี 2569 กลยุทธ์การลงทุน เน้นลงทุนบริษัทที่มีศักยภาพการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และลดน้ำหนักหุ้นที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นเกินพื้นฐาน รวมถึงหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีอัตรากำไรต่ำ อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ดั้งเดิม คาดว่าปี 2569 จะเป็นลักษณะการฟื้นตัวแบบ L-shaped โดยยังมีความเสี่ยงด้านขาลงที่สำคัญจากความเป็นไปได้ของอุปสงค์ที่ถูกทำลาย เป็นผลจากผลกระทบของมาตรการภาษีที่ยืดเยื้อ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกที่อ่อนแอลง


นายภควัต พิสุทธิพันธุ์ รักษาการผู้บริหารสูงสุด สายงานธุรกิจลูกค้ารายย่อย CGSI กล่าวว่า จากภาพสะท้อนทิศทางการลงทุนในปีหน้าที่ยังคงเผชิญแรงกดดัน การเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดและบริหารความเสี่ยงได้เป็นสิ่งสำคัญ CGSI มีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ทั้งการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เช่น บริการ Cross Border Trading, บริการ Private Fund, ตราสาร DR สำหรับลงทุนหุ้นต่างประเทศ และกองทุนรวมต่างๆ ที่นักลงทุนเลือกลงทุนได้ตามความเหมาะสมและตามความเสี่ยงที่แต่ละรายมีความแตกต่างกัน