
ทริส หั่นเรตติ้ง “อิตาเลียนไทย” เป็น “B” - ผลการดำเนินงานอ่อนแอ จับตาไถ่ถอนหุ้นกู้ ก.พ.ปี 69
29 ธ.ค. 2568 00:00
ทริส เรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD เป็น “B” และ “B-” จาก “B+” และ “B” ตามลำดับ พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ”
โดยการปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัท ที่อ่อนแอกว่าคาดโดยบริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 2 - 3 ปีข้างหน้าก็คาดจะยังคงอ่อนแอกว่าคาดการณ์เดิมอย่างมีนัยสำคัญ โดยการขายหุ้นทั้งหมดใน ITD Cementation India Ltd. (ITD CEM) ส่งผลทำให้ฐานรายได้และกำไรของบริษัทลดลงเกือบ 50%
ขณะที่กำไรส่วนใหญ่จากการขายหุ้นจำนวน 8.2 พันล้านบาทถูกหักล้างด้วยผลขาดทุนจากการดำเนินงานในปี 2568 ที่มีจำนวนมาก และแม้บริษัทจะได้ผู้ร่วมลงทุนในโครงการเหมืองแร่โปแตซ แต่ระยะในการพัฒนาโครงการก็ต้องใช้เวลาประมาณ 3 - 4 ปีกว่าที่จะเริ่มสร้างรายได้
สำหรับแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเสี่ยงที่อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงอีกในระยะอันใกล้นี้เนื่องจากยังไม่แน่ชัดว่าบริษัทจะชำระหนี้หุ้นกู้จำนวน 2 พันล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 นี้ได้อย่างไร รวมถึงยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัทอีกด้วย นอกจากนี้ การที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2566 นั้นก็ยังคงเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตอีกด้วย
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (E&C) ภายในประเทศของบริษัทแม้จะมีแนวโน้มอ่อนแอลงก็ตาม และยังสะท้อนถึงมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมากด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งเหล่านี้ถูกลดทอนด้วยโครงสร้างเงินทุนที่มีภาระหนี้สูงและสภาพคล่องที่ตึงตัวของบริษัท รวมถึงความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรงและลักษณะที่เป็นวงจรของอุตสาหกรรม E&C
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือน ลดลงถึง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าอันเป็นผลมาจากการขายกิจการของ ITD CEM และบริษัทมีรายได้เพียงประมาณครึ่งหนึ่งของประมาณการเต็มปีก่อนหน้าของทริสเรทติ้ง
นอกจากนี้ บริษัทยังขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจากต้นทุนโครงการที่สูงกว่างบประมาณในหลายโครงการหลักๆ เช่น โครงการเหมืองแม่เมาะ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 5 โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมาสัญญา 3 - 4 และโครงการทางพิเศษพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก (สัญญา 3) เป็นต้น ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ -22% ในช่วง 9M68 ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.5% นอกจากนี้ บริษัทยังได้บันทึกผลขาดทุนจากการตั้งหนี้สูญของโครงการพลังงานสะอาดของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP อีกจำนวน 2.3 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มเติมจากที่ได้บันทึกไปแล้วในปี 2567 ที่จำนวน 2.2 พันล้านบาท
ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังคงอ่อนแอซึ่งสะท้อนถึงอัตรากำไรของโครงการที่มีอยู่ที่ค่อนข้างต่ำและแนวโน้มที่การลงนามในสัญญาโครงการใหม่ๆ จะมีจำนวนน้อยลงในช่วง 2 - 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในช่วง 3 - 4 หมื่นล้านบาทต่อปี ในระหว่างปี 2568 - 2570 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากมูลค่างานในมือจำนวนมากซึ่งอยู่ที่จำนวน 1.29 แสนล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2568
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมนั้นคาดว่าจะยังคงขาดทุนสูงที่ระดับ -22% ในปี 2568 ก่อนที่จะทยอยปรับตัวดีขึ้นเป็น 4% - 6% ในระหว่างปี 2569 - 2570 ภายหลังจากโครงการที่ขาดทุนหลายๆ โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดย EBITDA Margin คาดจะยังคงอ่อนแอที่ระดับ -16% ในปี 2568 ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 6% - 7% ในระหว่างปี 2569 - 2570 อย่างไรก็ตาม ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ยังอยู่ในระดับสูงมีแนวโน้มที่จะยังคงกดดันความสามารถในการทำกำไร ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนในช่วงประมาณการ
จากการที่บริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแออย่างต่อเนื่องนั้นได้สร้างความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนด โดยบริษัทจำเป็นต้องรีไฟแนนซ์หุ้นกู้จำนวน 2 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 อย่างไรก็ตาม สภาวะตลาดตราสารหนี้ที่ไม่เอื้ออำนวยในปัจจุบันถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อแนวทางดังกล่าว
สำหรับกรณีที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินยังคงเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิต โดยทริสเรทติ้งมองว่าจะส่งผลให้ข้อมูลทางการเงินของผู้ออกตราสารขาดความเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือ ซึ่งส่งผลให้การประเมินผลการดำเนินงานของบริษัทมีข้อจำกัด ทั้งนี้ การไม่ปรากฏความเห็นของผู้สอบบัญชีต่องบการเงินของบริษัทตั้งแต่ปี 2566 ยังถือเป็นปัจจัยลบที่สำคัญต่ออันดับเครดิต แม้ว่าบริษัทจะสามารถแก้ไขปัญหาในหลายประเด็นที่เคยระบุไว้ในรายงานงบการเงินก่อนหน้านี้ได้แล้ว แต่ยังมีบางประเด็นที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อรายงานทางการเงินให้กลับมาใหม่
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ผู้สอบบัญชีอิสระได้ออกรายงานแสดงความเห็นแบบ "ไม่แสดงความเห็น (Disclaimer of Opinion)" ต่อรายงานการเงินระหว่างกาล โดยณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ของบริษัทเนื่องจากมีปัญหาสำคัญ 2 ประการคือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความต่อเนื่องของกิจการและหลักฐานการสอบทานที่ไม่เพียงพอจากข้อจำกัดบางประการ โดยผู้สอบบัญชีได้เน้นถึงการขาดทุนอย่างต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท ตลอดจนการขาดทุนสะสม และสถานะเงินทุนหมุนเวียนที่ติดลบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งความสามารถในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการรีไฟแนนซ์ รวมถึงการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้ให้กู้ การดำเนินการตามแผนของฝ่ายบริหาร และความสามารถในการเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าตามกำหนดเวลา
นอกจากนี้ ผู้สอบบัญชียังไม่สามารถสรุปได้เกี่ยวกับการเรียกคืนและการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (DSEZ) ซึ่งยังคงต้องเผชิญกับข้อพิพาทด้านสัมปทานและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการลงทุนในโครงการ First Dhaka Elevated Expressway (FDEE) ที่อยู่ระหว่างการชี้ขาด ในขณะที่ความไม่แน่นอนเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากกรณีโครงการก่อสร้างที่ล้มเหลวก็ยังเป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบหลักฐานของผู้สอบบัญชีอีกด้วย




ยอมรับการใช้งานคุกกี้ เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ การใช้งานที่ดีที่สุด