จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับซีรีส์ทนายอาชญากรอย่าง Better Call Saul ที่พิสูจน์แล้วว่า ซีรีส์ภาคแยก ก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง Breaking Bad

แม้ว่าในช่วงซีซั่นแรก ๆ จะเล่าเรื่องที่ยืดยาว มีการปูเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างนาน และอาจทำให้หลายคนเลิกดูไปในตอนนั้น แต่พอมาซีซั่นท้าย ๆ โดยเฉพาะซีซั่น 6 นี้ ที่เป็นบทสรุป กลับสามารถเล่าออกมายอดเยี่ยมทุกตอน ครบทุกรสชาติเท่าที่ซีรีส์ดี ๆ เรื่องหนึ่งจะมีได้ ทั้งตื่นเต้น แอ็คชั่นมันส์ ๆ วางแผน หักเหลี่ยมเฉือนคม ตลก ดราม่า หรือแม้กระทั่งน่ากลัว และที่ขาดไม่ได้คือซีนการต่อรองทางกฎหมาย และซีนว่าความในชั้นศาล ที่ยังคงแสดงให้เห็นทักษะขั้นเทพของ “ซอล กู๊ดแมน” ที่แสดงโดย “บ็อบ โอเดนเคิร์ก”

โดยซีซั่นนี้แบ่งออกเป็นพารท์ A และ B ที่ทิ้งช่วงห่างในการออกฉายประมาณ 2 เดือน ในพาร์ท A เล่าเน้นไปที่วงการใต้ดินของ “กุสตาโว ฟริงส์” หรือ “กัส” ที่ต้องรับมือกับ “ลาโล ซาลามังกา” หลังแผนการลอบสังหารที่มอบหมายให้ “นาโช” ทำนั้นไม่สำเร็จ

กัสจึงต้องหาทางจัดการกับลาโล ที่ต้องกลับมาแก้แค้นเขาอย่างแน่นอน เส้นเรื่องในช่วงนี้จึงเป็นการต่อสู้กันทางจิตวิทยาของคนฉลาด ที่ต่างคนต่างเก่งและรอบคอบ มันเลยสนุกที่จะได้เห็นก้าวต่อไปของตัวละครเหล่านี้ที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ ทำได้เพียงแค่ลุ้นเท่านั้น ว่าใครที่จะพลาดก่อนกัน

สลับกับเส้นเรื่องของฝั่งทนายอย่าง ซอล กู๊ดแมน และ คิม เว็กซ์เลอร์ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสำคัญ นอกจากหาทางกลั่นแกล้ง ฮาวเวิร์ด แฮมลิน อดีตหัวหน้าของทั้งคู่เท่านั้น แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความแสบ และอันตรายของทั้งคู่ได้อย่างดี ก่อนที่ในท้ายที่สุด เรื่องราวของทั้ง 2 เส้นกลับมาบรรจบกันได้อย่างคาดไม่ถึง นอกจากการเล่าแบบสลับไปสลับมาจะทำได้ลงตัวแล้ว ยังสอดคล้องกับธีมของแต่ละตอนได้อย่างดี

ส่วนในพาร์ท B เป็นการเล่าเรื่องราวของซอลที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น จีน ทาโควิก ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในตอนจบของ Breaking Bad ที่แม้เขาจะได้รับอิสระครั้งใหม่แล้ว แต่ชีวิตเขากลับไม่มีความสุข น่าเบื่อ และขาดสีสัน ภาพในช่วงหลังนี้จึงเป็นขาวดำทั้งหมด แต่หลังจากที่เริ่มมีคนจำเขาได้ในซีซั่นที่แล้ว จีนก็เริ่มวางแผนบางอย่าง ที่นอกจากจะพาเราคนดูไปยังบทสรุปที่ดีที่สุดสำหรับซีรีย์เรื่องนี้ ยังเป็นการจบเรื่องราวของ ซอล กู๊ดแมน ทนายตัวแสบแห่งโลกอาชญากรรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Better Call Saul อาจไม่ได้ดีเท่ากับ Breaking Bad ในด้านจังหวะการเล่าเรื่อง แต่ก็นับว่าตามมาติด ๆ เลยทีเดียว ตัวซีรีส์สามารถสร้างตัวละครใหม่ ๆ ให้เรารู้จักและอินกับเรื่องราว และสานต่อเรื่องราวของตัวละครที่มีอยู่แล้ว ให้ออกมาลึกซึ้งกว่าที่เคย แถมยังเชื่อมจุดโหว่ต่าง ๆ ที่เรายังไม่ได้คำตอบใน Breaking Bad ส่งผลให้ซีรีส์เรื่องนี้ กลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปี2022 นี้