MENU

ถอดสมการหนังพันล้าน เพราะอะไรหนังเรื่องหนึ่งจึงทำเงินถล่มทลาย

 11 ส.ค. 2566 00:00

ดูเหมือนว่าปัจจุบันนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว หากจะมีหนังเรื่องไหนที่สามารถทำเงินได้เกิน 1,000 ล้านเหรียญ เพราะช่วงหลัง ๆ มานี้ในทุก ๆ ปีจะต้องมีหนังอย่างน้อย 2-3 เรื่อง ที่ทำรายได้มหาศาลจนสร้างสถิติใหม่ ๆ หรือเข้ามาแทรกอันดับหนังทำเงินสูงสุดในโลกได้เสมอ ซึ่งตัวเลข 1 พันล้านเหรียญนี่ก็ไม่ใช่น้อย ๆ หากเทียบเป็นเงินไทยแล้วก็ประมาณ 35,000 ล้านบาท สูงกว่าเมก้าโปรเจกต์บางแห่งในประเทศเราเสียอีก


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมภาพยนตร์จึงกลายเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และทำไมเหล่าค่ายหนังจึงพร้อมลงทุนลงเงินมหาศาลให้กับมัน ซึ่งการจะเป็นหนังทำเงินเหล่านี้ได้ ก็ล้วนมีสูตรสำเร็จ วิธีการ หรือเคล็ดลับบางอย่างที่ทำให้หนังเป็นที่นิยม และวันนี้เราจะมาถอดสมการเหล่านั้นกัน ว่าเพราะเหตุใดที่ทำให้หนังเรื่องหนึ่งสามารถทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านเหรียญได้



1. เป็นภาคต่อของหนังฮิต หรือการกลับมาของหนังที่เราคิดถึง


เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่เหล่าค่ายหนังจะนำผลงานยอดนิยมของพวกเขามาสร้างภาคต่อ ยิ่งถ้าหากว่าหนังเรื่องนั้นทำเงินสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะสร้างฐานแฟนคลับให้เพิ่มมากขึ้น และแฟน ๆ เหล่านี้ก็จะเรียกร้องให้มีการสร้างหนังภาคต่อออกมา นั่นก็เพราะว่าการได้เห็นเหล่าตัวละครที่เรารัก หรือเรื่องราวที่เราชื่นชอบ ถูกสานต่อไปเรื่อย ๆ ก็ถือเป็นหนึ่งในความบันเทิงของการดูหนัง และอาจเป็นเป้าหมายในการมีชีวิตของบางคนเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อหนังเหล่านั้นหายไปเป็นเวลานาน และกลับมาด้วยความยิ่งใหญ่ มันก็จะสร้างความ Nostalgia หรือความรู้สึกโหยหาอดีตให้กลับมาด้วย เห็นได้จาก 10อันดับหนังที่ทำเงินสูงสุดในโลก มีถึง 7 เรื่องที่เป็นหนังภาคต่อ และ1เรื่องที่เป็นหนังรีเมค


ตัวอย่างเช่นแฟรนไชส์ Star Wars ที่ในปี 2015 ได้ปล่อยภาค The Force Awakens ที่เป็นเนื้อเรื่องต่อจากหนังภาค6เมื่อกว่า 30 ปีก่อน และยังถือเป็นหนัง Star Wars เรื่องใหม่ในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ภาค Revenge of the Sith จึงเป็นการดึงทั้งกลุ่มผู้ชมหน้าเก่ายุคคลาสสิก และผู้ชมรุ่นใหม่ที่โตมากับแฟรนไชส์นี้ให้เข้ามาในโรงภาพยนตร์อย่างพร้อมเพียงกัน จนสามารถทำเงินสูงถึง $2,071 ล้านเหรียญเลยทีเดียว


เช่นเดียวกับ Spider-Man: No Way Home ที่เป็นการนำ 3 Spider-Man จาก 3 ยุคมาพบกันในเรื่องเดียว , Avengers : End Game ที่เป็นบทสรุปของ Infinity Saga ที่ดำเนินมากว่า 10 ปี หรือ Avatar: The Way of Water และ Jurassic World ที่เป็นการพาเรากลับไปยังโลกที่เราคุ้นเคยอีกครั้ง ในมุมมองที่แปลกใหม่กว่าเดิม


2. ชื่อดารานักแสดง หรือผู้กำกับ


หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนอยากเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ นอกจากพล็อตเรื่อง หรือตัวอย่างหนังแล้ว ก็คือเหล่านักแสดงหรือผู้กำกับที่พวกเขาชื่นชอบ และมั่นใจในฝีมือว่าพวกเขาเหล่านั้นจะสามารถมอบความบันเทิงให้มาสู่เราได้อย่างแน่นอน แม้หนังเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นภาคต่อหรือหนังรีเมกก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานของคนคนนี้ ก็สามารถการันตีคุณภาพได้เลย


เช่นผู้กำกับอย่าง เจมส์ คาเมรอน หลังจากทำหนังแอ็กชันสุดมันส์ ที่หลายคนยกย่องว่าดีที่สุดตลอดกาลอย่าง Terminator ทั้งสองภาค เขาก็ประสบความสำเร็จมากกับ Titanic ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นหนังเรื่องแรกของโลกที่สามารถทำเงินทะลุ 1,000 ล้านเหรียญได้สำเร็จ ด้วยเวลา 78 วัน และเมื่อผลงานใหม่ของเขาอย่าง Avatar เตรียมเข้าฉายในปี 2009 เพียงแค่โปรโมทว่าผู้กำกับคนเดียวกับ Titanic ก็สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับคนดูได้แล้ว แถมตัวหนังก็ยังมีคุณภาพสูงเช่นกัน

ในกรณีของนักแสดงก็เช่น วิน ดีเซล ที่มีภาพจำอยู่คู่กับหนังตระกูล Fast and Furious ,โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ กับการเป็น โทนี่ สตาร์ก ของจักรวาลมาร์เวล หรือ คริส แพรตต์ ที่ควบทั้งบท Star Lord และ โอเวน จากแฟรนไชส์ Jurrasic World เมื่อไหร่ที่เราเห็นหน้านักแสดงเหล่านี้ ก็อุ่นใจได้ว่าหนังมันจะต้องสนุกอย่างแน่นอน


3. เข้าถึงคนได้หลากหลาย


การที่หนังสักเรื่องจะทำเงินได้มาก ๆ นั้น ปัจจัยที่สำคัญคือการที่หนังเรื่องนั้น ๆ มีรอบฉายเพียงพอต่อความต้องการของผู้ชมด้วย เหล่าค่ายใหญ่ ๆ ที่ลงทุนกับหนังของพวกเขาไปมหาศาล ก็จะมีการติดต่อไปหาโรงหนังเพื่อขอรอบฉายให้ได้มากที่สุด ยิ่งหากหนังที่เป็นเรท G (เหมาะสำหรับทุกวัย) หรือ PG-13 (เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป) ก็จะยิ่งสามารถเข้าถึงคนได้มากขึ้น หมายความว่าโรงหนังก็จะมีมากตามไปด้วยเช่นเดียวกัน หรือบางเรื่องก็อาจขอจองโรง Imax ไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งด้วยราคาที่สูงกว่าโรงทั่ว ๆ ไป ก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้หนังทำเงินได้มากขึ้นเช่นกัน


เหล่าค่ายหนังเลยต้องหาวิธีทาง ในการทำหนังให้เข้าถึงกลุ่มคนให้ได้มากที่สุด เริ่มจากวิธีง่าย ๆ อย่างการหลีกเลี่ยงประเด็นสุ่มเสี่ยง ละเอียดอ่อน หรือมีความรุนแรงสูง และเล่าเรื่องออกมาให้กระชับ เข้าใจง่าย สนุก และไม่ซับซ้อนจนเกินไป จึงไม่แปลกที่ช่วงหลัง ๆ จะมีอนิเมชั่นที่ทำเงินได้เกินพันล้านอยู่หลายเรื่อง ทั้ง Minions , Zootopia , Incredibles 2 , Frozen หรือ Toy Story 4 นั่นก็เพราะว่านอกจากจะเป็นการ์ตูนที่ย่อยง่ายแล้ว มันยังดูสนุก และไม่มีประเด็นสุ่มเสี่ยงมาวุ่นวายอีกด้วย


โดยในประวัติศาสตร์มีหนังเรท R แค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่สามารถทำเงินได้เกินพันล้านเหรียญ จากจำนวนหนังกว่า 53 เรื่อง นั่นก็คือ Joker ในปี 2019 ซึ่งสิ่งที่ทำให้หนังทำเงินได้มากขนาดนี้ มีสาเหตุมาจากข้อถัดไป


4. กระแส


การดึงคนให้เขามาดูในโรงมากที่สุด ไม่ใช่แค่การทำหนังเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยเท่านั้น แต่เหล่าค่ายหนังยังต้องหาวิธีการโปรโมทให้หนังเป็นกระแสมากที่สุดอีกด้วย เช่น วิธีคลาสสิกอย่างโฆษณาทางทีวี ตัวอย่างหนังทางยูทูป บทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ หรือป้ายบิลบอร์ดตามสถานที่ชื่อดังต่าง ๆ หากพัฒนาขึ้นมาอีกหน่อยก็อาจใช้วิธีผลิตของเล่น หรือสินค้าต่าง ๆ ที่เป็นภาพจำจากในหนัง เช่น เสื้อผ้า หมวก กระเป๋า รองเท้า หรือไอเทมต่าง ๆ ให้คนจดจำ


แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคนี้ ช่องทางสำคัญที่สุดในการโปรโมทหนังก็คืออินเตอร์เน็ต ที่หากหนังเรื่องไหนที่ชาวเน็ตไม่ชอบก็จะสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านรายได้หนังอย่างชัดเจน เหล่าค่ายหนังจึงต้องใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตให้ได้มากที่สุด ทั้งการเชิญสื่อ หรือเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมากมายให้มาชมหนังเรื่องนั้น ๆ ก่อนใคร เพื่อหวังว่าพวกเขาเหล่านี้จะกลับไปรีวิว แนะนำ หรือเชิญชวนให้คนเข้ามาดูหนังกันมากขึ้น


หลายครั้งก็เป็นความตั้งใจของค่ายที่ตั้งใจทำให้ภาพลักษณ์ของหนังมีความเฟรนด์ลี่ อาจมีการสร้างมีม หรือกระแสขึ้นมาเองเพื่อเอาใจชาวเน็ต หรือมีการทิ้งประเด็นให้คนถกเถียง ตั้งคำถามให้ผู้ชมสงสัยจนต้องตีตั๋วเข้ามาดูในโรง และเมื่อทำสำเร็จแล้วก็จะเกิดเป็นกระแสปากต่อปาก ชื่นชมหนัง หรือชวนดูหนังเหล่านั้น เช่น เรื่อง Joker ที่ทำให้คนตระหนักรู้ถึงปัญหาสุขภาพจิต ความบิดเบี้ยวของสังคม และมุมมองต่อคนชนชั้นล่าง, หนังพันล้านล่าสุดอย่าง Barbie ที่พูดเรื่องผู้หญิงออกมาในรูปแบบที่ผู้ชายแท้ ๆ ยังอินได้ หรือใน Captain Marvel ที่เข้าฉายก่อน End Game หนึ่งเดือนทำให้คนต้องรีบไปดู เพราะกลัวว่าหากพลาดเรื่องนี้ไปจะดู End Game ไม่เข้าใจ โดยไม่สนแม้กระทั่งคุณภาพของหนัง


5. มอบประสบการณ์ที่มีแต่โรงหนังเท่านั้นจะให้ได้


ในยุคที่ Streaming เติบโตจนถึงขีดสุด ก็เป็นการยากเช่นกันที่หนังสักเรื่องจะทำเงินได้อย่างถล่มทลายเหมือนสมัยก่อน ในเมื่อผู้บริโภคบางคนมีตัวเลือกในการรอดูหนังอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะเหตุผลเรื่องไม่อยากเสียเงินเพิ่มเติม ขี้เกียจเดินทาง หรือยังกงวลเรื่องโรคระบาดอยู่ เพราะฉะนั้นภาพยนตร์ที่สามารถดึงสักยภาพของโรงหนังออกมาได้อย่างเต็มที่ ก็จะได้เปรียบมากกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ เพราะประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์นั้นจะไม่สามารถสัมผัสได้เลย หากรับชมอยู่ที่บ้าน


เช่น หนังอย่างTop Gun: Maverick ที่ทำเงินได้กว่า 1,495 ล้านเหรียญ ก็สามารถมอบประสบการณ์การชมภาพยนตร์ ที่เหมือนหลุดเข้าไปนั่งบนเครื่องบินจริง ๆ ภาพการขับเครื่องบินรบบนท้องฟ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องดูบนจอใหญ่ ๆ หรือลำโพงกระหึ่ม ๆ เท่านั้น หรือในหนังอย่าง Avatar ทั้ง 2 ภาค ที่มีงานภาพ เสียง หรือเทคนิคพิเศษที่ไร้ที่ติ และการดูในโรงก็ยิ่งทำให้เราเห็นรายละเอียดต่าง ๆ มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะโรงแบบ 3 มิติ ที่เหมือนเราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดาวแพนโดร่าจริง ๆ หรือการดูหนังมาร์เวล ที่ต้องรีบไปดูก่อนใครไม่งั้นก็จะถูกสปอยล์เอาได้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หนังสามารถทำเงินทะลุ 1,000 ล้านได้อย่างรวดเร็ว


แต่เอาเข้าจริงเหตุผลเหล่านี้ก็ไม่ใช่ตัวแปรทุกอย่าง เพราะยังมีหนังอีกมากที่ทำตามสูตร แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงแต่ไม่ทำเงินทะลุพันล้าน แต่บางเรื่องอาจเข้าขั้นเจ๊ง ซึ่งเหตุผลก็สารพัดอาจจะด้วยช่วงเวลาที่ออกฉายดันไปชนกับหนังเรื่องอื่น ๆ ข่าวฉาวของนักแสดง ปัญหาในกองถ่าย หรือแม้แต่ซีจีลอย ๆ ก็ตาม แต่ไม่ว่าจะยังไง คุณภาพของหนังก็คือที่สุด หากผู้สร้างมีความตั้งใจ ไม่ว่าหนังจะทำเงินได้ถึง 1,000 ล้านเหรียญ หรือประสบความสำเร็จทางด้านรายได้หรือไม่ แต่มันก็จะมีคนเห็นคุณค่าและชื่นชมงานของเราอย่างแน่นอน