ห่างหายจากวงการภาพยนตร์ไปหลายปี แต่ก็กลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี สำหรับนักแสดงเจ้าบทบาทอย่าง ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ ที่มารับบทนำในหนังแอ็คชั่น-ระทึกขวัญ เรื่องใหม่ของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ อย่าง “The Killer” ที่ได้รับคำชมมากมายจากทั้งฝั่งคนดูและนักวิจารณ์ แถมยังขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บน Netflix กว่า 180 ประเทศทั่วโลก ที่ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของหนัง เราได้เห็นหน้าของ ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ เกือบจะทุกนาที ที่จะเรียกว่าการแสดงของเขาแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ก็คงไม่ผิด และวันนี้เราได้นำเกร็ดน่ารู้ของผู้ชายคนนี้มาฝากกัน

1. ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ เกิดเมื่อวันที่ 2เ มษายนปี 1977 ที่เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมัน โดยที่พ่อของเขาเป็นชาวเยอรมัน ส่วนแม่เป็นคนไอริช และหากต้องการอ่านชื่อจริงของเขาตามภาษาเยอรมนี ก็ต้องออกเสียงว่า “มิชชาเอล ฟัสเบ็นเดอร์” ตั้งแต่เด็กพ่อและแม่ของเขาย้ายมาอยู่ที่ เมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า คิลลาร์นีย์ บนเกาะไอร์แลนด์ ที่ครอบครัวของเขาเปิดร้านอาหาร และพ่อก็รับหน้าที่เป็นเชฟ

2. ตอนวัยรุ่น ไมเคิลเป็น Metalhead ตัวยง เขามีวงดนตรีโปรดอย่าง Metallica, Sepultura และ Reign In Blood ซึ่งเขาก็ใฝ่ฝันว่าอยากจะทำวงร็อค Heavy Metal กับเพื่อน ๆ ที่ถึงขั้นมุ่งมั่นซ้อมกีตาร์กว่า 2 ชั่วโมง ต่อวันหลังเลิกเรียน

3. แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ไมเคิลเลือกจะเดินสายการแสดง ก็คือตอนอายุ 16 ปี เมื่อเขาเลือกเข้าชมรมการแสดง และได้ขึ้นแสดงละครเวทีครั้งแรก ซึ่งเขาก็ชอบมันมาก ๆ จนตัดสินใจที่จะเดินเส้นทางนี้อย่างจริงจัง เมื่อเรียนจบมัธยมไมเคิลก็เข้าเรียนการแสดงที่ Drama Centre London โรงเรียนสอนการแสดง ที่มีศิษย์เก่าชื่อดังอย่าง ฌอน แฮร์ริส,พอล เบ็ตตานีย์,ทอม ฮาร์ดี,เอมมิเลีย คลาร์ก หรือ เจมม่า ชาน เป็นต้น

4. ด้วยฝีมือการแสดงของเขาที่พัฒนาขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2001 ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ จึงได้มีโอกาสร่วมแสดงในซีรีส์สงครามฟอร์มยักษ์ ที่ได้ ทอม แฮงส์ และ สตีเวน สปีลเบิร์ก มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง อย่าง “Band of Brothers” ในบทจ่าสิบเอก แพท คริสเตนสัน ซึ่งถือเป็นบทแจ้งเกิดไมเคิลในฐานะนักแสดงอย่างเป็นทางการแล้ว

5. ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ ยังคงมีผลงานการแสดงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ล้วนเป็นงานทางทีวีเท่านั้น จนในปี 2006 เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางจอเงินครั้งแรก ในหนังแอ็คชั่นอิงประวัติศาสตร์เรื่อง 300 ของ แซ็ก สไนเดอร์ ที่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ และส่งให้เขามีโอกาสรับงานแสดงภาพยนตร์ฉายโรงมากขึ้น

6. ในปี 2009 อีกหนึ่งบทบาทที่น่าจดจำของ ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ ก็คือบทร้อยโท อาร์ชี่ ฮิค็อกซ์ จากหนังยุทธการเดือดเชือดนาซีอย่าง Inglourious Basterds ของ เควนติน แทแรนติโน ที่ไมเคิลเองก็เป็นแฟนตัวยงของผู้กำกับคนนี้ และยังเคยแสดงละครเวทีเรื่อง Reservoir Dogs ที่ดัดแปลงมาจากหนังเรื่องแรกของเควนตินอีกด้วย ซึ่งการได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนโปรด ก็เหมือนกับฝันที่เป็นจริง

7. ในปี 2011 นั่น นับเป็นปีสุดฮอตของ ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ ที่เขามีงานแสดงภาพยนตร์ที่ต่างแนวกันถึง 5 เรื่องเลยทีเดียว ทั้งหนังดราม่า-โรแมนติกอย่างJane Eyre ,หนังฮีโร่อย่าง X-Men: First Class ,หนังระทึกขวัญอย่าง A Dangerous Method ,หนังแอ็คชั่นอย่าง Haywire และหนังดราม่าอิโรติกอย่าง Shame ที่เขาลงทุนเปลือยผ้าเห็นหมดในหนังเรื่องนี้

8. ในปี 2011 ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ ก้าวเข้าสู่วงการหนังฮีโร่ ด้วยการรับบทเป็น แม็กนีโต วัยหนุ่มในหนังเรื่อง X-Men:First Class ซึ่งการแสดงของเขา มันได้เพิ่มมิติและภูมิหลังที่มาที่ไปอันเจ็บปวดของตัวละครตัวนี้ ได้มากกว่าที่ เอียน แม็กเคลเลน แสดงไว้ซะอีก ซึ่งตัวละครแม็กนีโต ก็ล้วนมีบทบาทสำคัญในหนังภาคต่อ ทั้ง Days of Future Past , Apocalypse และ Dark Phoenix ที่แม้ 2 เรื่องหลังจะโดนวิจารณ์อย่างหนัก แต่การแสดงของ ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ ก็ยังได้รับการชื่นชมเสมอมา จนแฟน ๆ ก็ยังคงเรียกร้องให้เขากลับมารับบทเดิมใน MCU

9. ในปี 2013 ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ ได้รับบทเป็น เอ็ดวิน เอปส์ นายทาสสุดโหดจากหนังเรื่อง 12 Years a Slave ที่ส่งให้เขาได้ถูกเสนอชื่อเช้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และอีกครั้งในปี2015กับการรับบทเป็น สตีฟ จอบส์ ที่ได้เข้าชิงสาขานักแสดงนำ และแม้จะชวดรางวัลทั้ง 2 ครั้ง แต่ก็ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือการแสดงของเขาว่ามีคุณภาพมากแค่ไหน

10. ถึงแม้จะมีผลงานดี ๆ น่าจดจำมากมาย แต่ ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ ก็ยังมีผลงานหนังห่วย ๆ ไม่ต่างจากนักแสดงคนอื่นในฮอลลีวูด เริ่มจาก Blood Creek ในปี 2006 หนังสยองขวัญเกรดบีที่นำแสดงโดย เฮนรี แควิลล์ และถือเป็นตราบาปของนักแสดงทั้งคู่, Jonah Hex หนังแอ็คชั่นตะวันตก ที่ดัดแปลงมาจากคอมิคส์ของ DC ได้คะแนนวิจารณ์บนเว็บ Rotten Tomatoes ไปเพียง 12% เท่านั้น, The Snowman หนังระทึกขวัญที่นำแสดงมากฝีมือทั้ง รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน,เจ. เค. ซิมมอนส์ หรือ วัล คิลเมอร์ ต้องมาเสียเวลาเล่น

และ Assassin's Creed หนังจากเกมชื่อดัง ที่ไมเคิลทุ่มเทที่จะปลุกปั้นให้เป็นแฟรนไชส์ ถึงขนาดฝึกพูดภาษาสเปนและอารบิก อีกทั้งยังเสี่ยงเล่นฉากสตันท์เองกว่า 90% อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามของเขามันสูญเปล่า เพราะหนังล้มเหลวทั้งคำวิจารณ์และรายได้ ส่งผลให้โปรเจกต์หนังภาคต่อต้องถูกพับไป แต่หนังเหล่านี้ก็กลับมีจุดดีร่วมอยู่จึงหนึ่ง ซึ่งก็คือฝีมือการแสดงอันยอดเยี่ยมเสมอของ ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ นั่นเอง