MENU

คลังเล็งออก Stable coin มูลค่า 1 หมื่นล้าน - ชงพ.ร.ก.เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.สอบสวนคดีใหญ่ เข้าครม.ภายใน 2 สัปดาห์นี้

 30 ม.ค. 2568 00:00

คลัง เล็งออก Stable coin อ้างอิงกับพันธบัตรรัฐบาล ประเดิมล็อตแรกมูลค่า 10,000 ล้านบาท คาดชัดเจนภายในปี 68 นี้ พร้อมเตรียมเสนอครม. ภายใน 2 สัปดาห์ พิจารณาออกพ.ร.ก. เพิ่มบทบาท ก.ล.ต. ให้มีอำนาจสอบสอนคดีใหญ่มูลค่าความเสียหายสูง เพื่อลดขั้นตอนเอาผิดอาญาผู้กระทำผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ คาดช่วยลดเวลาก่อนถึงศาลได้ 6-7 เดือน


นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Stable Coin) ด้วยนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลมาอ้างอิงกับการออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น ไม่จำกัดเพียงแค่นักลงทุนรายใหญ่ หรือนักลงทุนสถาบัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มออกมารองรับ โดยวงเงินเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท คาดจะมีความชัดเจนภายในปี2568 นี้


"พันธบัตรรัฐบาล เป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและทุกคนให้ความเชื่อถืออย่างมาก ซึ่งรัฐบาลมีการออกพันธบัตรใหม่จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่จะไปอยู่ในมือของสถาบันการเงิน ส่วนบุคคลธรรมดาส่วนมากมักจะนำไปเก็บไว้เฉยๆ กระทรวงการคลังจึงมีแนวคิดนำพันธบัตรรัฐบาลเหล่านี้ ให้สามารถกระจายไปยังผู้ที่สนใจลงทุนมากขึ้น และทำให้เกิดสภาพคล่องสามารถแลกเปลี่ยนได้ได้ง่ายขึ้น"


นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการสนับสนุนการทำงานของ ก.ล.ต. ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ในเรื่องการเพิ่มอำนาจสอบสวนให้กับเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. สามารถดำเนินการสอบสวนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันทีในกรณีคดีที่มูลค่าความเสียหายสูง โดยจะเป็นการลดขั้นตอนนำส่งพนักงานสอบสวน แต่จะเป็นการร่วมมือกันในแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นๆ เพื่อให้กระบวนการเอาผิดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งคาดจะช่วยลดระยะเวลาดำเนินการจนถึงกระบวนศาลได้อย่างน้อย 6-7 เดือน ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเสนอ ครม. ได้ภายใน2 สัปดาห์นี้


นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการกำหนดกรอบมูลค่าความเสียหายที่จะเข้าข่ายที่ก.ล.ต. มีอำนาจสอบสวนเองนั้น ต้องรอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ก่อน จะมีการหารือในรายละเอียดและวางกรอบกันต่อไป


นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังอยากเห็นบริษัทหลักทรัพย์(บล.) มีส่วนร่วมและมีบทบาทในการประกอบธุรกิจและผลักดันอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งบริษัทใหม่ เนื่องจากมองว่าบล. มีความใกล้ชิดกับผู้ลงทุนอยู่แล้ว และอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงาน ก.ล.ต. รวมถึงการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้สร้างนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทยด้วย


ส่วนนโยบายการผลักดัน Finance Hub นั้นถือเป็นโอกาสของประเทศไทยในการดึงดูดบริษัทชั้นนำเข้ามาลงทุน แต่กระทรวงการคลังยังมองเห็นบางจุดที่ต้องระมัดระวัง โดยช่วงแรกการให้สถาบันการเงินจากต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยจะเป็นการให้รับลูกค้าเฉพาะต่างชาติเท่านั้น ซึ่งเป็นการทดลองในช่วงแรก ก่อนจะขยายไปสู่ลูกค้าภายในประเทศ ประกอบกับมีความตั้งใจอยากดึงบริษัทชั้นนำของไทยที่ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยด้วย เพื่อสร่างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น