ก.ล.ต. กางแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี มุ่งยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย
30 ม.ค. 2568 00:00ก.ล.ต. แถลงแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (68 – 70) ให้ความสำคัญการยกระดับความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทย เพิ่มกลไลตรวจจับป้องกันและปราบปรามการทุจริต พร้อมสนับสนุนการสร้างคุณค่าและความโดดเด่นให้ บจ. ไทย มุ่งมั่นพัฒนาตลาดทุนไทยให้รองรับความต้องการของธุรกิจที่หลากหลายและเป็นตลาดทุนที่ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ ตลอดจนรองรับการปรับตัวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว
เมื่อวันที่ 30 มกราค 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้จัดแถลงแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568 – 2570) ซึ่งได้รับเกียรติจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การพัฒนาตลาดทุนไทยเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ” โดยมี นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. กล่าวต้อนรับและรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน และนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวถึง “ทิศทางแผนยุทธศาสตร์สำนักงาน ก.ล.ต. ปี2568 – 2570” พร้อมทั้งได้จัดให้มีเสวนาหัวข้อ “พลิกโฉมตลาดทุน โอกาสและความท้าทาย” โดยรองเลขาธิการ ก.ล.ต. ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในช่วงปาฐกถาว่า ตลาดทุนจะต้องเป็นกลไกสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เศรษฐกิจและตลาดทุนจะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐจะต้องเป็นผู้นำทางในการเสริมสร้างศักยภาพและโอกาสการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ
โดยในส่วนของตลาดทุน สิ่งที่ภาครัฐเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญคือ Trust & Confidence โดยต้องมีกระบวนการการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ลงโทษผู้กระทำผิดได้รวดเร็ว และจะเร่งขั้นตอนการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มอํานาจการสอบสวนของ ก.ล.ต. โดยเฉพาะกรณีที่มีผลกระทบสูง (high impact) รวมถึงการยกระดับในเรื่องต่างๆ ทั้งการเปิดเผยข้อมูลและการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน
นอกจากนี้ ในด้านสินทรัพย์ดิจิทัล อยากจะเห็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมไปพร้อมกับการคุ้มครองผู้ลงทุน และเห็นว่าการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ โดยทางภาครัฐและภาคตลาดทุนจะร่วมมือกันพัฒนาตลาดทุน เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนที่เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน
นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. กล่าวว่า นอกจากการกำหนดแผนยุทธศาสตร์แล้ว การขับเคลื่อนแผน (implement) เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดย ก.ล.ต. ต้องมีความคล่องตัว (agility) ในการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเท่าทันเหตุการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินการเรื่องต่างๆ ทั้งการสร้างธรรมาภิบาลในตลาดทุนผ่านมาตรการต่างๆ ที่มีอย่างต่อเนื่อง การพัฒนากฎกติกาให้เป็นมาตรฐาน สามารถตรวจสอบ ป้องกันและลดความเสียหายได้ เช่น การจัดทำเกณฑ์การจำนำหุ้นที่จะออกมาในเร็วๆ นี้ การดำเนินการด้าน Trust & Confidence ยังมีเป้าหมายสำคัญคือ ความยุติธรรม (justice) ซึ่งต้องไม่ล่าช้า
โดยปีที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ทำให้คดีที่คั่งค้างสามารถดําเนินการได้เร็วขึ้นจากปี 2566 อย่างชัดเจนถึง 3 เท่า และเชื่อว่าอนาคตจะยังพัฒนาขึ้นอีก ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ทางกฎหมายที่จะเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการสอบสวนการกระทำผิดได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพและสร้างความน่าเชื่อถือต่อตลาดทุนไทย
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับกระบวนการที่สังเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เช่น การศึกษาแนวโน้มและนโยบายตลาดทุนของต่างประเทศ ความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล การทำวิจัยเชิงลึก และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. รวมทั้งเพื่อให้ผู้ร่วมตลาด ตลอดจนผู้ลงทุนและประชาชน ได้เห็นทิศทางในการกำกับดูแลและกำหนดนโยบายในการพัฒนาตลาดทุนในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่ง ก.ล.ต. มุ่งหมายขับเคลื่อนแผนดังกล่าว โดยร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความสมดุลและสอดรับกับบริบทของประเทศ อันจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งเสริมความเชื่อมั่นและความเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศต่อไป
สำหรับแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี2568 – 2570 มีเป้าหมายหลัก 5 ด้าน ได้แก่
1. ตลาดทุนต้องได้รับความเชื่อมั่น (Trust & Confidence) โดยจะเพิ่มกลไกตรวจจับและป้องกันทุจริตและการกระทำไม่เหมาะสมของผู้ระดมทุน (บริษัทจดทะเบียน) ผู้ออกตราสาร และผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (Gatekeeper) ที่ต้องมีระบบเข้มงวดขึ้นเพื่อปิดโอกาสในการกระทำผิดให้ยากที่สุด โดยจะให้ความสำคัญกับมาตรการป้องปราม และยกระดับการบังคับใช้กฎหมาย (Enforement) โดยยืนยันว่าจะดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำผิดในทุกกรณี และจะดำเนินการด้วยความโปร่งใส
นอกจากนั้นได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อยกระดับศักยภาพ บจ. ภายใต้มาตรการ Corporate value-up program เพื่อสร้างดีมานด์ในตลาดหุ้นไทย และท้ายที่สุดอยากให้กลไกตลาด (Market Force) ทั้งผู้ลงทุนและผู้ร่วมตลาด ช่วยกันใช้ข้อมูลที่มีอยู่เลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องไปอาศัย Finfluencer
2. ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Technology) โดยจะต้องสร้างอีโคซิสเต็มในการใช้ประโยชน์จากบล็อกเชนและ DLT ไปใช้กับฝั่งหลักทรัพย์ให้ได้เพื่อตอบรับสู่สังสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยประโยชน์ที่ได้ชัดเจนคือ นักลงทุนจะไม่มีความยุ่งยากซับซ้อนในการเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุน และท้ายที่สุดการระดมทุนจะกระจายไปหาผู้ที่ต้องการเงินถึงระดับรายย่อยได้มากขึ้น
3. ตลาดทุนเป็นกลไกสู่ความยั่งยืน (Sustainable Capital Market) โดย ก.ล.ต. กำลังจะจัดทำ ISSB Roadmap ซึ่งจะเป็นการเปิดเผลข้อมูลด้าน ESG ตามมาตรฐานสากล และอยากเห็นการเข้าสู่Net Zero ของประเทศ โดยจะมีการสร้างกลไกการซื้อขายพวกคาร์บอนเครดิตขึ้นมาด้วย ไปจนถึงฝังเรื่องเหล่านี้ไปกับการปฏิบัติหน้าที่ของตัวกลาง
4. ผู้ลงทุนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี (Long-term Investment) ซึ่งส่วนนี้เป็นผลลัพธ์ที่ ก.ล.ต.อยากเห็น นั่นคืออยากให้ประชาชนคนไทยได้ประโยชน์จากตลาดทุน ซึ่งที่ผ่านมาจะพูดถึงประโยชน์เชิงสาธารณะ ด้านตัวเลขการเติบโตของประเทศ การมีนักลงทุนจำนวนเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่ปริมาณการซื้อขายที่วันนี้พยายามจะให้มีสัดส่วนที่สูงขึ้นในทุกกลุ่มนักลงทุน
ทั้งนี้ต้องกลับมาโฟกัสการส่งเสริมประชาชนคนไทย โดยเปลี่ยนการออมเป็นการลงทุน เพื่อให้เงินทำงาน ซึ่งจะทำให้คนไทยได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมในอนาคตจากตลาดทุน โดยผ่านโปรเจ็กต์ Thai Individual Investment Account หรือ TIIA และจะมีเครื่องมือช่วยรายย่อยเข้าถึงการลงทุนมากขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นโดยการเพิ่มจำนวนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ให้มากขึ้นด้วย
5. ศักยภาพในการดำเนินการตามพันธกิจของ ก.ล.ต. (SEC Excellence) โดย ก.ล.ต. ต้องมีกฎเกณฑ์เข้าใจง่าย ไม่เป็นอุปสรรค โดยมีsup tech มีระบบ Smart Detector และใช้ Data-Driven และใช้เอไอและเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน
ทั้งนี้ เสวนาหัวข้อ “พลิกโฉมตลาดทุน โอกาสและความท้าทาย” โดยรองเลขาธิการ ก.ล.ต. ได้แก่ นางวรัชญา ศรีมาจันทร์ นายธวัชชัย พิทยโสภณ นางสาวจอมขวัญ คงสกุล และนายเอนก อยู่ยืน ร่วมให้มุมมองต่อการดำเนินงานด้านต่างๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่งยังคงเน้นการทำงานเชิงรุกโดยเดินหน้ายกระดับความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้ตลาดทุนทำหน้าที่ในการเป็นแหล่งระดมทุนและลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันยังคงมุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพของตลาดทุนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถแข่งขันและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนไทยมีแผนที่ชัดเจนในการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ตลาดทุนเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่งได้อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ความต้องการ และสามารถรองรับการเกษียณ
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการยกระดับระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานรองรับตลาดทุนดิจิทัล รวมทั้งส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสำคัญสู่ความยั่งยืนและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ตลอดจนการยกระดับศักยภาพของ ก.ล.ต. ในการกำกับดูแลและการตรวจสอบ การใช้เทคโนโลยี ข้อมูลและนวัตกรรมในกระบวนการทำงาน รวมถึงการพัฒนาทักษะและความพร้อมของบุคลากรเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้เกี่ยวข้องได้อย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพ