MENU

EXIM BANK กางแผนปี 68 มุ่งสู่ธนาคารเพื่อความยั่งยืน-ยอดสินเชื่อแตะ 2.1-2.2 แสนล้านบาท

 13 ก.พ. 2568 00:00

เอ็กซิมแบงก์ (EXIM BANK) เปิดแผนปี 68 เดินหน้าสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน คาดยอดคงค้างแตะ 2.1-2.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ย้ำสัดส่วนกรีนโลน 50% ของพอร์ตในปี 2570 เตือนผู้ประกอบการความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายTrump 2.0 ค่าเงินบาทผันผวนหนัก แนะป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน


นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของเอ็กซิมแบงก์ในปี 2568 มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจไทยผ่านความเชี่ยวชาญและพันธมิตรสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bank) โดยจะเร่งขยายฐานลูกค้าผ่านบริการและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งด้านการสนับสนุนการส่งออกและการลงทุน เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานส่งออกสีเขียว (Green Export Supply Chain) โดยให้สิทธิประโยชน์และดอกเบี้ยพิเศษแก่ผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG รวมถึงบริการใหม่ของเอ็กซิม แบงก์ อาทิ บริการค้ำประกันหุ้นกู้ให้แก่ลูกค้าซึ่งจะช่วยเอื้อให้สามารถระดมทุนได้แม้จะมีเครดิต เรทติ้งไม่สูง บริการที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่ลูกค้าที่มีความต้องการระดมทุน ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้หรือตราสารทุน หรือการเข้าซื้อกิจการการควบรวมกิจการ (M&A) เป็นต้น


สำหรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อในปีนี้ คาดการณ์สินเชื่อปล่อยใหม่น่าจะมีแนวโน้มใกล้เคียงกับช่วง 2 - 3 ปีก่อนที่ระดับ 1% ถึง -0.6 - 0.8% โดย 50% จะเป็นสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อ ณ สิ้นปีคาดการณ์ที่ระดับ 2.1-2.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนที่ 1.89 แสนล้านบาท และยังคงเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะมีกรีนโลนในสัดส่วน 50% ของยอดคงค้างสินเชื่อรวมในปี 2570 ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมาอยู่ในสัดส่วนใกล้แตะ 40%


นายรักษ์ กล่าวว่า กรณีที่สหรัฐฯจะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสนั้น มองว่ามีผลกระทบน้อยมาก กลุ่มที่จะละทิ้ง Green Momentom ไปตามสหรัฐฯคงจะเป็นไปได้น้อย เนื่องจากผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆที่มีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนั้น เห็นได้ชัดเจน โดยได้มีการคาดการณ์ว่าโลกและไทยยังต้องการเม็ดเงินสีเขียว (Climate Finance) อีกจำนวนมาก Climate Policy Initiative ประเมินว่าClimate Finance โลกปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าความต้องการที่ประเมินว่าสูงถึงราว 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงปี 2567 - 2573 เท่ากับว่าโลกยังต้องการ Climate Finance เพิ่มขึ้นราว 5 เท่า ดังนั้น จึงยังมีช่องทางที่จะทำธุรกรรมทางการเงินได้อีกมาก ซึ่งในจุดนี้เอ็กซิมแบงก์ถือว่าเป็นทั้งหน้าที่ และโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ด้วย


สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เอ็กซิมแบงก์คาดการณ์จีดีพีปีนี้เติบโตที่ระดับ 3% โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักยังอยู่ที่ภาคการท่องเที่ยวที่คาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ระดับใกล้ 40 ล้านคน รวมถึงการส่งออกที่ยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 คาดการณ์เติบโตที่ 2 - 3% ซึ่งส่วนหนึ่งอานิสงส์จากการเร่งตุนสั่งสินค้าเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์จะยังส่งผลต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรก รวมถึงการลงทุนภาครัฐขยายตัวได้ดีในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณมีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 160% แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวอยู่บนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์


จากความไม่แน่นอนดังกล่าว ทำให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนในกรอบที่กว้างขึ้น โดยคาดว่ากรอบการแกว่งตัวจะใกล้ๆ 9 บาทในช่วง 9-10 เดือนข้างหน้า จากในช่วงปีก่อนที่ประมาณ 6 บาท อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องติดตามเป็นส่วนของภาคการผลิตของไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากยังไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่ซัพพลาย เชนของโลกใหม่ได้ ซึ่งในส่วนนี้เป็นหน้าที่ของเอ็กซิมแบงก์ที่จะต้องผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าสู่ซัพพลาย เชนของโลกใหม่ได้ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์-คำแนะนำทางการเงินต่างๆ แล้ว ยังมีในเรื่ององค์ความรู้ต่างๆด้วย พร้อมกันนั้น ขอแนะนำให้ผู้ประกอบการธุรกิจต่างประเทศควรมีการประกันความเสี่ยงค่าเงิน โดยกำหนดจุดที่ต้องการที่เหมาะสมแล้วฟิกซ์ค่าเงินไว้ เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าในช่วงนี้


"เอ็กซิมแบงก์ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านธุรกิจและบริการที่จะนำไปสู่โมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงิน สอดคล้องกับทิศทางการค้าและการลงทุนในโลกปัจจุบันภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ขณะเดียวกัน ยังเต็มไปด้วยโอกาสใหม่ๆ ทางการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทยที่ปรับตัวได้ทันและมีการวางแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ" นายรักษ์ กล่าว