
โบรกเกอร์มั่นใจหุ้นไทย 1,000 จุด ยังรับอยู่ แม้เจอสหรัฐฯ รีดภาษี 36% แนะปรับพอร์ตลงทุนใหม่
8 ก.ค. 2568 00:00โบรกเกอร์ ประสานเสียงดัชนีตลาดหุ้นไทยเสี่ยงปรับฐาน หากสหรัฐฯ รีดภาษี 36% แต่ยังมั่นใจไม่หลุด 1,000 จุด ลุ้นเจรจาก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. นี้ พรัอมแนะปรับพอร์ตใหม่ลดความเสี่ยง ทยอยลงทุนหุ้นกลุ่ม Domestic Play และกลุ่มปันผลสูง เลี่ยงกลุ่มส่งออก - นิคมอุตสาหกรรม
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ยังคงมั่นใจว่าจุดต่ำสุดเดิมของ SET Index รอบก่อนหน้านี้ที่ 1,050 จุด จะยังเป็นแนวรับสำคัญที่ไม่หลุด ตราบใดที่ภาษีศุลกากรที่ไทยถูกสหรัฐฯเรียกเก็บอยู่ในอัตราไม่เกิน 36% และพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกเลื่อนการพิจารณาหรือตีตกไป
หากการเจรจาการค้าไม่คืบจนทำให้ไทยถูกเก็บภาษีสูงกว่า 36% หรือร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งอาจจะด้วยรัฐบาลกลับมามีเสียงข้างน้อย มีการยุบสภาก่อน หรือมีการทำรัฐประหาร มองว่าแนวรับสำคัญของ SET Index จะถูกกดลงไปอยู่แถวระดับ 1,000 จุดได้
"สหรัฐฯ ให้เวลาประเทศคู่ค้าในการเจรจาไปถึงวันที่ 1 ส.ค. 68 มองว่า Risk sentimentทั่วโลกจะยังคงถูกประคับประคองได้อยู่ ในทางกลับกัน หากสุดท้ายแล้วสหรัฐฯ ไม่พอใจกับข้อตกลงการค้าที่แต่ละประเทศเสนอมา และตัดสินใจยกระดับการเก็บภาษีการค้าขึ้นสู่ระดับที่เคยประกาศไว้ จะเป็น Negative sentiment ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นแต่ละประเทศ โดยระดับความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บลดหลั่นกันไป"
บล.ดาโอ เชื่อ SET Index ไม่หลุด 1,000 จุด
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า หลังจากประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นี้ แม้ล่าสุด รมว. คลัง จะยื่นข้อเสนอการค้าให้สหรัฐฯไปแล้วเป็นรอบที่ 2 ก็ตาม ประเมินว่า ทำให้ตลาดตกหล่มด้วย 2 ตัวแปรใหญ่ที่ยังไม่รู้ทิศทาง คือ ผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ขั้นสุดท้าย และสถานะของนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตามผลของทั้ง 2 เรื่อง ไม่น่าทำให้ดัชนีฯ ลงไป new low หรือลงต่ำกว่า 1,000 จุดได้ ยกเว้นจะเกิด Big Surprise ยุบสภาฯ หรือไทยไปติดกลุ่ม 3 ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อถึง 1 ส.ค.นี้
ส่วนกลยุทธ์ ยังเป็นการขายทำกำไรช่วงสั้น และทยอยจัดหุ้นชุดใหม่เข้าพอร์ต โดยเลือกหุ้นที่ราคาไม่แรงผสมกับหุ้นที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน ควรเลี่ยงหรือใช้ความระมัดระวัง ในการลงทุนหุ้นมีปัจจัยลบในช่วงนี้ ถ้าเป็นเรื่องเจรจาการค้าคือ หุ้นส่งออกและกลุ่มนิคมฯ ส่วนหุ้นที่อิงการเมือง จะเป็นหุ้นที่มีการรับงานหรือมีสัมปทานกับภาครัฐฯ
แนะนำ AMATA, CBG, KTC ออกจากพอร์ตช่วงนี้ และนำ TTB, CPAXTเข้ามาแทน แบ่งเป็น หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย TTB(10%), CPAXT*(10%), TOP(10%), SCB(10%)
บล.พาย มอง SE Tเสี่ยงปรับฐานระหว่าง 1,050 - 1,120 จุด
บล.พาย ประเมิน SET Index เสี่ยงปรับฐานในกรอบ 1,050 – 1,120 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นอาจเลือก Wait & See เพราะอาจเผชิญกับแรง Panic Sell แต่ก็จะเป็นโอกาสให้กับนักลงทุนระยะกลาง - ยาว ในการสะสมหุ้นที่อาจไม่มีผลกับสงครามการค้าหรือผลกระทบมีผลไม่มากนัก ประกอบด้วย กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS) กลุ่มที่อิงต่างประเทศ (MINT) ค้าปลีก (BJC, CPALL) Non Bank (MTC, SAWAD, TIDLOR) ธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, KTB, SCB)
นอกจากนี้ ขึ้นกับข้อเสนอที่ทางไทยยื่นให้กับสหรัฐฯ ล่าสุดทางรัฐบาลได้เสนอภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในบางชนิดที่ระดับ 0% ก็คงต้องรอติดตามว่าจากนี้ทางรัฐบาลไทยจะดำเนินการเจรจาอย่างไร แต่ระยะสั้นเชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับลงและจะกระทบกับนิคมอุตสาหกรรมกับกลุ่มส่งออก แต่ SET INDEX ที่ 1xPBVน่าจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง (1,060 จุด)
ลิเบอเรเตอร์ เตือนระวังหุ้นกลุ่มส่งออก - เก็บสื่อสาร ท่องเที่ยว
บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า หากพิจารณาของไทยซึ่งโดนเก็บภาษีนำเข้าที่ 36% ถือเป็นอัตราคงเดิมที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่ 2 เมษายน สวนทางกับประเทศส่วนใหญ่ในรอบนี้ได้ปรับลดภาษีลง ดังนั้นสะท้อนถึงแผนการเจรจาของไทยในรอบล่าสุดที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้คาดจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นในช่วงที่เหลือก่อนการเริ่มเก็บจริง 1 ส.ค. ทางไทยจะต้องรีบเสนอแผนการลดการขาดดุลของสหรัฐฯอย่างมีนัยสำคัญ
คาด SET จะตอบรับเชิงลบ โดยมีแนวรับที่บริเวณ 1,100 และ 1,080จุด ระมัดระวังกลุ่มส่งออกที่คาดจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราภาษีนำเข้าสหรํฐฯที่อยู่ที่ระดับสูงถึง 36% ซึ่งถือว่าสูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม ที่โดนที่ระดับเพียง 20% อย่างไรก็ดี กลุ่มที่อาจเข้ามาสลับพยุงเช่น กลุ่ม Domestic Play ที่ Valuation น่าดึงดูด และกลุ่มปันผลสูง ที่แนวโน้มผลการดำเนินงานยังคาดเติบโตดี โดยแนะนำ กลุ่มสื่อสาร, ท่องเที่ยว, ไฟฟ้า และโรงพยาบาล