
“กรุงไทย” กำไร Q3/68 กว่า 1.46 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 25% - มุ่งช่วยเหลือลูกค้าปรับตัวรับพลวัตโลก
21 ต.ค. 2568 00:00ธนาคารกรุงไทย กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 68 จำนวน 14,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% ได้แรงหนุนจากธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน และธุรกิจ Wealth Management พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมุ่งเน้นดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง และรักษาระดับ Coverage Ratio ในระดับสูง รองรับภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน และเร่งช่วยเหลือลูกค้าปรับตัว - แก้หนี้อย่างยั่งยืน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2568 ของธนาคารมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 14,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 จากรายได้จากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 3.4 ได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน จากตราสารหนี้และอัตราแลกเปลี่ยนตามสภาวะตลาดอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 จากธุรกิจ Wealth Management ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงตามภาวะดอกเบี้ยและการปรับดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า
สินเชื่อโดยรวมลดลงร้อยละ 3.9 จากสิ้นปี 2567 ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง การชำระคืนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อภาครัฐ ในด้านสินเชื่อรายย่อยเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย และธนาคารสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ มี Cost to Income Ratio ที่ร้อยละ 37.7 ลดลงจากร้อยละ 41.8 โดยคาดว่าประมาณการทั้งปียังคงเป็นไปตามเป้าหมายเดิม
พร้อมกันนั้น ธนาคารยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี NPL Ratio อยู่ที่ร้อยละ 2.88 ลดลงจากร้อยละ 2.99 จากสิ้นปีที่ผ่านมา จากลูกหนี้รายใหญ่บางรายกลับมาเป็นหนี้ปกติ และยังคงรักษา Coverage Ratio ในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 206.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 188.6 จากสิ้นปีที่ผ่านมา รองรับความไม่แน่นอนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะนี้ โดยมีอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อ (Credit Cost) ที่ร้อยละ 1.09 ลดลงจากร้อยละ 1.29 สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์
เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 5.9 แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนจากตราสารหนี้และอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตัวดีตามสภาวะตลาดและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตต่อเนื่องจากบริการด้าน Wealth Management ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 14,620 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2568 เทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 37,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 รายได้จากการดำเนินงานขยายตัวเล็กน้อย ร้อยละ 0.4 ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 4 จากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารทรัพย์สินรอการขายที่กลับสู่ระดับปกติ แม้ว่าธนาคารยังคงลงทุนใน เทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม รองรับการเติบโตในอนาคต โดย Cost to Income Ratio ลดลงเป็นร้อยละ 40.1 จากร้อยละ 41.9 ธนาคารยังคงตั้งสำรองอย่างรอบคอบและระมัดระวังและยังคงรักษา Coverage Ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจสะท้อนคุณภาพสินทรัพย์
ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 19.78 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น ร้อยละ 21.78 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 3 จากการเร่งส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ก่อนขึ้นภาษีศุลกากร ส่วนในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า มีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งส่งออกที่หมดลง ขณะเดียวกัน ยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง ทั้งความเปราะบางที่มีอยู่เดิม โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ การขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ และความท้าทายของภาครัฐ ซึ่งล้วนจะยังคงกดดันการเติบโตของประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ที่มุ่งเน้นกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจที่เติบโตในระดับต่ำ และมีโอกาสพลิกฟื้นความเชื่อมั่นในระยะข้างหน้า
"ธนาคารดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง มุ่งเน้นการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ รับมือกับความไม่แน่นอน โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือและสนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูงและรายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยร่วมสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ผ่านมาตรการต่างๆ อาทิ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และ “โครงการสินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน” รวมถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ธนาคารยังเดินหน้าสนับสนุนสินเชื่อสำหรับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพลวัตของโลก ตลอดจนสนับสนุนกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีโอกาสเติบโตสูง (New S-Curve) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจ"
นายผยง กล่าวอีกว่า ธนาคารให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างคุณค่าและโอกาสทางการเงินให้ทุกคนผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลัก ที่มุ่งเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน บริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ เสริมศักยภาพพนักงาน และสร้างสมดุลให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดยล่าสุดธนาคารและพันธมิตรได้จัดตั้ง ธนาคารคลิกซ์ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว