MENU

ก.ล.ต. คุมเข้ม “มาร์จิ้นโลน” ลดเพดานปล่อยกู้เหลือ 4 เท่า - ฟันคดีอาญา แพ่งรวมแล้ว 30 คดี

 22 ต.ค. 2568 00:00

ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์คุมมาร์จิ้นโลน ลดเพดานปล่อยกู้เหลือไม่เกิน 4 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น จากเดิม 5 เท่า พร้อมเร่งจัดตั้งระบบเครดิตบูโรโบรกเกอร์ เตรียมเปิดใช้ SDEP ไตรมาส 1 ปี 69 ขณะที่สถิติบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ต้นปีถึง 15 ต.ค. 68 รวม 30 คดี แบ่งเป็นคดีอาญา 12 คดี ผู้กระทำผิด 47 ราย คดีแพ่ง 18 คดี ผู้กระทำผิด 89 ราย เงินค่าปรับและชดใช้นำส่งคืนรัฐแล้ว 182 ล้านบาท


นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า การยกระดับมาตรการกำกับดูแลตลาดทุน มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดูแลสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) ของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อให้การปล่อยกู้มีความเหมาะสมและช่วยลดความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมโดยรวม ก.ล.ต. จึงได้ปรับลดเพดานการปล่อยกู้มาร์จิ้นโลนของโบรกเกอร์ลง ให้เหลือไม่เกิน 4 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น จากเดิมที่กำหนดไม่เกิน 5 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น


ขณะเดียวกัน ก.ล.ต. ยังได้เร่งเดินหน้าโครงการจัดตั้งระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลหลักทรัพย์ หรือ Secureities Data Exchange Platform (ระบบ SDEP) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำหน้าที่คล้าย "เครดิตบูโร" สำหรับโบรกเกอร์ มาตรการนี้เป็นมาตรการป้องกันที่ริเริ่มขึ้นภายหลังกรณี บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE เพื่อสร้างช่องทางให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถนำส่งและแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกค้าระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยให้โบรกเกอร์สามารถบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุมยิ่งขึ้น โดยคาดระบบ SDEP จะเริ่มทดสอบในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ และเริ่มดำเนินการได้จริงในไตรมาส 1 ปี 2569


สำหรับภาพรวมของสินเชื่อในตลาดหลักทรัพย์ ณ เดือนกันยายน 2568 โบรกเกอร์ทั้งอุตสาหกรรมมียอดรวมมาร์จิ้นโลนอยู่ที่ 4.87 หมื่นล้านบาท ในขณะที่มีการวางหลักประกันรวมสูงถึง 174,403 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามูลค่าของหลักประกันยังคงสูงกว่ามูลหนี้รวมถึง 3.58 เท่า

ด้านเผยสถิติการบังคับใช้กฎหมายนั้น นายเอนก กล่าวว่า ในปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 15 ตุลาคม 2568 ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษผู้กระทำความผิดคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน (บก.ปอศ. และ DSI) 12 คดี ผู้กระทำผิด 47 ราย ได้แก่ การกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์/สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การสร้างราคา แพร่ข่าว/ข้อความเท็จ และ ซื้อ/ขายหลักทรัพย์ก่อนทำรายการซื้อขายของกองทุน (Front run) จำนวน 6 คดี ผู้กระทำความผิด 18 ราย, การทุจริต 1 คดี ผู้กระทำความผิด 2 ราย, การแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ 3 คดี ผู้กระทำความผิด 16 ราย และการประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต 2 คดี ผู้กระทำความผิด 11 ราย


โดยหลายคดีเป็นการกระทำความผิดตั้งแต่ปี 2567 หรือเป็นกรณีที่ ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลเมื่อปี 2567 อาทิ กรณีสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้น PK, TKT และ PROS, กรณีเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ THG, กรณี ตกแต่งงบการเงินของ JKN และกรณี Front run โดยใช้ข้อมูลการลงทุนของกองทุน เป็นต้น


ด้านมาตรการลงโทษทางแพ่ง คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ใช้มาตรการกับผู้กระทำความผิด 18 คดี ผู้กระทำผิด 89 ราย ดังนี้


การกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์/สินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ การสร้างราคา การใช้ข้อมูลภายใน/การเปิดเผยข้อมูลภายในและการแพร่ข่าว/ข้อความเท็จ จำนวน 16 คดี ผู้กระทำผิด 86 ราย


การแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ 1 คดี ผู้กระทำผิด 2 ราย


การไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์สุจริต 1 คดี ผู้กระทำผิด 1 ราย


ในช่วงเดียวกันผู้กระทำผิด 31 ราย จาก 12 คดี ตกลงทำบันทึกยินยอมปฏิบัติตามมาตรการทางแพ่ง โดยชำระค่าปรับทางแพ่ง 117.54 ล้านบาท และชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ที่ได้รับ 64.14 ล้านบาท รวมกว่า 182 ล้านบาท


อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งในปี 2560 ถึงปัจจุบัน (15 ตุลาคม 2568) ก.ล.ต. ใช้มาตรการดังกล่าวรวม 79 คดี ผู้กระทำผิด 308 ราย มีค่าปรับรวม 2,149.68 ล้านบาท และเงินชดใช้ผลประโยชน์ที่ได้รับ 450.65 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเป็นรายได้แผ่นดินที่ส่งกระทรวงการคลังแล้ว