MENU

กกร.คงเป้าจีดีพี 1.8 - 2.2% ห่วงยอดคนตกงานพุ่ง พร้อมเดินหน้าค้านกฎหมาย RIA

 5 พ.ย. 2568 00:00

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คงคาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัวได้ที่ 1.8 - 2.2% แม้การส่งออกอาจโตได้ 9.5 - 10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง รวมถึงการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียงราว -0.1 - 0.1%


นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า กกร.ยังคงคาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8 - 2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้การส่งออกอาจโตได้ 9.5 - 10.5% ตามประมาณการใหม่ (จากเดิมที่ 2 - 3%) แต่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียงราว -0.1 ถึง 0.1% ตามประมาณการใหม่ (จากเดิม 0.5 - 1.0%) ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง


อย่างไรก็ดีหากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%


พร้อมกันนั้น รับทราบความหน้าโครงการ “Reinvent Thailand” เพื่อยกระดับประเทศไทย โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อน 6 อุตสาหกรรม (Priority Sectors) ที่บทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน ได้แก่ 1) เกษตรและอาหาร 2) ยานยนต์ 3) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 4) สุขภาพและการแพทย์ 5) ท่องเที่ยว และ 6) ค้าปลีก โดย กกร. จะมีเจ้าภาพในการผลักดันในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain และผลักดันการช่วยเหลือในรูปแบบ “พี่ช่วยน้อง” ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยประคอง SMEs อีกทั้ง ยังเชื่อมโยงกับมาตรการช่วยเหลือและโครงการต่างๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ


นอกจากนี้ กกร.ยังมีความเป็นห่วงตลาดแรงงานที่เปราะบางเป็นปัจจัยท้าทายการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย อัตราว่างงานในระบบประกันสังคมล่าสุดในไตรมาส 2/68 แตะ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปี และอัตราการว่างงานภาคอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่เร่งตัว จากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งซ้ำเติมแผลเป็นจากช่วงโควิดที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้น กระทบต่อผลิตภาพแรงงาน และต้วเลขการว่างงานดังกล่าวยังไม่สะท้อนตัวเลขจริงในระบบซึ่งน่าจะสูงกว่านี้มากพอสมควร ดังนั้น จึงมีการติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง


ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ไม่เห็นด้วยและมีความกังวลกับร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment : RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด และร่างพระราชบัญญัติโรงงาน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่


ดังนั้น กกร. จึงเห็นว่าการจัดทำกฎหมายที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง พร้อมจัดทำการประเมินผลกระทบกฎหมาย (RIA) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้กฎหมายมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว


"กกร.มองว่ากฎหมาย 3 ฉบับดังกล่าวจะสร้างผลกระทบเศรษฐกิจ-ผู้ประกอบการในวงกว้าง อย่างพรบ.คุ้มครองแรงงานที่กำหนดชั่วโมงการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์นั้น จะเท่ากับวันทำงานเหลือ 5 วัน ทำโอทีก็ไม่ได้เพราะเวลาเกิน ซึ่งกระทบผู้ประกอบการและตัวลูกจ้างเอง หรือพรบ.อากาศสะอาดเป็นเรื่องที่ดี แต่กระบวนการที่จะนำไปสู่ยังไม่พร้อมและกระทบต่อต้นทุนในสภาวะที่ผู้ประกอบการอาจจะยังไม่พร้อม เป็นต้น ดังนั้นการออกกฎหมายที่นำเสนอโดยฝั่งการเมืองโดยไม่ได้ร้บฟังข้อมูลอย่างรอบด้านและเพียงพอนั้นจะเกิดผลกระทบในวงกว้างได้ ดังนั้น ในวันพุธที่ 12 พฤศจิกายนนี้ สภาหอฯจะแถลงข่าวถึงจุดยืนในเรื่องดังกล่าว"