MENU

อัพบิต ไทย แจงกรณี “อัพบิต เกาหลี” พบความเสี่ยงการฟอกเงิน ยันดำเนินงานตามมาตรฐานกำกับดูแลอย่างโปร่งใส

 5 พ.ย. 2568 00:00

อัพบิต ประเทศไทย ยืนยันกรณีข่าวที่เกี่ยวข้องกับ อัพบิต เกาหลี เป็นการตรวจพบและรายงานธุรกรรมต้องสงสัยโดยสมัครใจ ไม่ใช่การกระทำผิด พร้อมเดินหน้ารักษามาตรฐานสูงสุดด้านการกำกับดูแล การป้องกันและปราบปรามฟอกเงิน และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน


นายปรีชา ไพรภัทรกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงกรณีข่าวการสืบสวนที่เกี่ยวข้องกับอัพบิต เกาหลี ว่าพบความเสี่ยงการฟอกเงิน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลร่วมกับทีมงานเกาหลีใต้ ประเด็นดังกล่าวเป็นการตรวจพบและรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยความสมัครใจ ทั้งนี้ จึงขอยืนยันว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวแตกต่างจากรายงานของสื่อบางสำนักอย่างมีนัยสำคัญ


โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2025 เมื่อระบบตรวจสอบภายในของ อัพบิต เกาหลีตรวจพบบัญชีลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่อการฟอกเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่ม Huione จากประเทศกัมพูชา จำนวน 259 บัญชี จึงดำเนินการระงับธุรกรรม ตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าในระดับเข้มข้น (Enhanced Customer Due Diligence) และรายงานธุรกรรมต้องสงสัยต่อหน่วยงานรัฐทันที ผลจากการตรวจสอบนำไปสู่การเพิกถอนการเป็นผู้ใช้งาน 205 ราย ที่ไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของเงินได้อย่างเพียงพอ ทั้งนี้ ธุรกรรมของลูกค้าที่ต้องสงสัยดังกล่าวอยู่ในวงเงินที่ต่ำกว่าเกณฑ์ของกฎหมาย Travel Rule ของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการตามกฎหมาย Travel Rule


นอกจากนี้ การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่สำนักงานเฝ้าระวังอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐฯ (FinCEN) จะประกาศระบุให้กลุ่ม Huione จากกัมพูชาเป็นนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินถึงสองเดือน สะท้อนถึงการทำงานเชิงรุกและความโปร่งใสในการรายงานต่อหน่วยงานกำกับดูแลของเกาหลีใต้


ต่อมาในเดือนตุลาคม 2025 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบข้อมูลลูกค้าตามขั้นตอนกฎหมาย เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ไม่ได้เป็นการกล่าวโทษหรือบ่งชี้ถึงการกระทำผิดใดๆ ทั้งสิ้น โดยจากผลการตรวจสอบพบว่ามีธุรกรรมรวม 8.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 5 แห่งทั่วเกาหลี ซึ่งในจำนวนนี้ อัพบิต เกาหลีมีส่วนเกี่ยวข้องเพียง 3% หรือราว 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น


นายปรีชา กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้กรณีดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่อัพบิต ประเทศไทย ยังคงดำเนินมาตรการด้านการกำกับดูแลและป้องกันความเสี่ยงอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกัน โดยจากการตรวจสอบบัญชีต้องสงสัยกว่า 200,000 บัญชีที่ได้รับจากหน่วยงานตำรวจ พบว่ามีลูกค้าที่ตรงกับรายชื่อไม่ถึง 30 บัญชี และบัญชีเกือบทั้งหมดได้ถูกระงับการใช้งานไปก่อนที่รายชื่อจะถูกส่งมาจากหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ กฎหมายไทยยังไม่มีการบังคับใช้ Travel Rule อย่างเป็นทางการ แต่อัพบิต ประเทศไทย เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศที่นำระบบดังกล่าวมาใช้ตั้งแต่ปี 2021 เพื่อป้องกันการฟอกเงินและธุรกรรมที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง


“เราเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยั่งยืน ต้องเริ่มจากความโปร่งใสและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อัพบิตจะเดินหน้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อสร้างระบบที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับนักลงทุนทุกคน” นายปรีชา กล่าว


ทั้งนี้ อัพบิต ประเทศไทยยังเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรองเป็น “วิสาหกิจสีเขียว NET ZERO” เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ตอกย้ำพันธกิจของบริษัทในการสร้างมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใส ยั่งยืน และมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป