
ชีวิตการแสดงสุดสาหัสของ เบรนแดน เฟรเซอร์ จากรุ่งโรจน์ สู่ตกต่ำ และคัมแบ็กอีกครั้งอย่างสง่างาม
30 ม.ค. 2566 00:00หากพูดถึงพระเอกในหนังผจญภัยแล้ว เชื่อว่าหลายคนจะต้องนึกถึง เบรนแดน เฟรเซอร์ กันอย่างแน่นอน นักแสดงมากฝีมือที่โด่งดังในช่วงปลายยุค 90s ถึงต้นยุค 2000s ด้วยเสน่ห์เหลือล้นเวลาขึ้นจอ ทั้งรูปร่าง หน้าตา และบุคลิกที่ได้ทั้งเท่และกวนในเวลาเดียวกัน เขาคนนี้เป็นเหมือนต้นแบบให้กับพระเอกหนังในยุคนี้หลายคนเลยก็ว่าได้ แต่เกิดอะไรขึ้นกับ เบรนแดน เฟรเซอร์ ทำไมพระเอกสุดเท่คนนี้ถึงได้หายหน้าไปจากวงการหลายปี วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปรู้จักเขาให้มากขึ้นกัน
เบรนแดน เจมส์ เฟรเซอร์ เขาเป็นชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1968 ในครอบครัวที่มีพี่น้อง 3 คน ตั้งแต่เด็กเขาเป็นคนที่สนใจในด้านการแสดงอยู่แล้ว และเมื่อเรียนจบมัธยม เบรนแดนก็ได้ย้ายไปยังลอสแอนเจลิสเพื่อทำตามความฝัน และด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ บวกกับรูปร่างอันสมบูรณ์ ส่วนสูง 189 ซม. ก็ทำให้เขาได้งานแสดงแทบจะในทันที โดยบทแรกที่เราได้รับคือบทสมบทในหนังเรื่อง Dogfight (1991) ที่ ริเวอร์ ฟินิกซ์ นำแสดง และหลังจากนั้นเขาก็ได้รับบทสมทบมากมาย ที่เหมือนเป็นการฝึกฝนทักษะในการแสดงของเขา
จนกระทั่งในปี 1997 เบรนแดนก็ได้รับบทนำครั้งแรก ในหนังเรื่อง George of the Jungle หนังที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนตลกในยุค 60-70s ทำมาเพื่อล้อทาร์ซานโดยเฉพาะ และตัวหนังก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถทำเงินสูงถึง 174 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 55 ล้าน และด้วยความที่เบรนแดนต้องแสดงเป็นคนป่าไร้เดียงสา แถมต้องถอดเสื้อโชว์หุ่นตลอดทั้งเรื่อง ก็ทำให้เขากลายเป็นที่พูดถึงของสาว ๆ ในทันที ในการถ่ายทำ George of the Jungle เบรนแดนก็ได้ตกหลุมรักกับ แอฟตัน สมิธ จนทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1998 และมีลูกด้วยกันถึง 3 คน
และแล้ว จุดสูงสุดในอาชีพการแสดงของเขาก็มาถึง เมื่อทีมงานจากหนัง The Mummy หนังแอ็คชั่นผจญภัย ที่ดัดแปลงมาจากมอนสเตอร์คลาสสิคในตำนาน ซึ่งหลังจากทีมงานได้ดูการแสดงของ เบรนแดน เฟรเซอร์ ในบทจอร์จก็ถูกใจเอามาก ๆ เพราะด้วยบุคลิกที่สามารถได้ทั้งเท่และตลกในเวลาเดียวกัน มันช่างเหมาะกับบท ริค โอคอลเนลล์ พระเอกของเรื่องนี้ซะเหลือเกิน
จนสุดท้ายเขาก็ได้รับบทนี้ไปครอง The Mummy ภาคแรก ประสบความสำเร็จมาก ทั้งด้านคำวิจารณ์ และรายได้ที่ทำเงินได้สูงถึง 416 ล้าน จากทุนสร้างเพียง 80 ล้าน จนมีการสร้างภาคต่อและภาคแยกตามออกมา ส่วน เบรนแดน เฟรเซอร์ ก็ได้แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการ ในฐานะนักแสดงแนวหน้าของวงการ
ซึ่งตัวเขาก็กระตือรือร้นในการทำงานเป็นอย่างมาก หรืออาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ด้วยความที่ชอบการแสดงแบบสุด ๆ จึงทำให้เขารับงานแสดงไม่แบบไม่พิจารณา งานลำดับถัด ๆ ไปของเขาที่ไม่ใช่ The Mummy ก็ไม่ประสบความสำเร็จสักเรื่อง ซึ่งมันส่งผลเสียกับอาชีพนักแสดงของเขาเป็นอย่างมาก แถมการทำงานแบบหักโหม และการที่เขาแสดงฉากสตันท์ด้วยตัวเอง ก็ยิ่งทำให้สุขภาพร่างกายเขาทรุดเร็วกว่าปกติ ตั้งแต่แผลฟกช้ำ ไปจนถึงกระดูกหัก หรือหนักสุดก็ทำเอาเกือบตาย จนต้องมีการเข้าออกนอนโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
ขนาดที่ว่าในปี 2008 ที่เขาเริ่มกลับมาฟอร์มดีอีกครั้งจากการเล่นหนังเรื่อง The Mummy ภาค 3 และ Journey to the Center of the Earth แต่ก็ไม่วายมีเรื่องอีกจนได้ ทั้งปัญหาสุขภาพจิตภายหลังการหย่ากับภรรยาในปี 2007 ปัญหาการเงินที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรอันมหาศาล หรือปัญหาร่างกาย ที่สะสมมาจากอดีต จนทุกครั้งที่มีการพักกองของ The Mummy ภาค 3 เขาก็ต้องเอาน้ำแข็งมาประคบตัวอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานชีวิตการแสดงของเขาก็ตกต่ำอย่างรวดเร็ว เมื่อจู่ ๆ เขาก็ไม่ได้รับบทนำในหนังฟอร์มยักษ์อีกต่อไป มีเพียงงานแสดงในหนังเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจ ต้องรับงานทุกงานที่มีคนเสนอมา จนตัวเองเริ่มมีรูปร่างใหญ่โตขึ้น หน้าตาเริ่มดูโทรม และแก่ลงตามวัย ทิ้งภาพจำพระเอกหนังแอ็คชั่นในอดีต จนทำเอาแฟน ๆ หลายคนถึงกับเป็นห่วง
ซึ่งสาเหตุที่เบรนแดนหายหน้าไปจากหนัง BlockBuster ในช่วงแรกก็มีการเดากันไปต่าง ๆ นานาจากสื่อ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพ ที่คงไม่มีใครอยากได้คนโทรม ๆ มาเล่นหนังแอ็คชั่น หรือการแพ้คดีฟ้องหย่ากับภรรยาเก่าในปี 2007 ที่มีข่าวว่าเขาทำร้ายเธอจนตัวเขาถูกมองว่าเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด เบรนแดนก็ไม่ได้ยอมแพ้ แม้จะไม่มีผลงานใหญ่ ๆ แต่เขาก็ยังทุ่มเทในการแสดง ที่เป็นความฝันของเขา แม้เขาจะกลายเป็นนักหนังแสดงเกรด B หรือรับบทสมบทในซีรีส์ก็ตาม
จนในปี 2018 เขาก็ได้เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงออกมา จากการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ โดยเขาเล่าว่า ในปี 2003 เขาถูกเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงของ Hollywood Foreign Press Association (HFPA) ซึ่งเป็นกลุ่มสมาคมนักข่าวสายภาพยนตร์จากต่างประเทศแห่งฮอลลีวูด และเป็นกลุ่มเดียวกับที่จัดงานลูกโลกทองคำ ซึ่งเมื่อจบงานเลี้ยง ขณะที่เบรนแดนกำลังจะเดินทางกลับ เขาได้เขาไปจับมือกับนาย ฟิลิป เบิร์ค อดีตนายกสมาคม HFPA
โดยเบรนแดนก็ได้เผยว่า ตัวเขาถูกนายฟิลิปล่วงละเมิดทางเพศโดยการลูบหลัง จับก้น และจับเป้าของเขา ซึ่งมันทำให้เขาเสียขวัญ อึดอัด และอยากร้องไห้ออกมา แต่ด้วยความกลัวจะเสียอนาคตในวงการ และชื่อเสียงที่สะสมมา จึงเขาจึงตัดสินใจเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และเดินหน้าทำงานแสดงต่อไปโดยเก็บความทุกข์นี้เอาไว้ จนมีปัญหาสุขภาพจิต อารมณ์แปรปวน ถึงขั้นทำร้ายคนรอบข้าง และอาจจะเป็นสาเหตุที่เขาหย่ากับภรรยา
เมื่อถึงจุดหนึ่ง เบรนแดนก็ทนไม่ไหว เขาได้มีการเรียกร้องคำขอโทษจากทางฟิลิป เบิร์ค และ HFPA แต่การมีเรื่องกับสมาคมที่ทรงอิทธิพลกับฮอลลีวูดขนาดนี้ ก็ย่อมส่งผลเสียต่ออาชีพการแสดงของเขา เหล่าค่ายหนังเริ่มปฏิเสธที่จะให้เขามาแสดง
สำนักข่าวก็เขียนข่าวโจมตีเขาเสีย ๆ หาย ๆ หรืองานลูกโลกทองคำก็ไม่ได้มีการเชิญเขาร่วมงานอีกต่อไป คำขอโทษจากเบิร์ค
หรือคำชี้แจงจาก HFPA ก็บอกเพียงว่าเป็นการหยอกเล่นเฉย ๆ เท่านั้น หรือไม่ก็บอกว่าสิ่งที่นายเบรนแดน เฟรเซอร์ พูดนั้นไม่มีหลักฐาน ซึ่งปัจจุบันนายฟิลิปป์ เบิร์ก ก็ยังคงตำแหน่งระดับสูงในสมาคมอยู่
การเปิดใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของเฟรเซอร์ในครั้งนั้น ได้ช่วยให้เขาสามารถปลดปล่อยความเจ็บปวดที่แบกมาได้หลายปี ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น กล้าที่จะออกสื่อพูดความจริง และไม่เกรงกลัวอำนาจมืดอีกต่อไป ตัวเขาได้รับโอกาสในการแสดงสายหลักอีกครั้ง จากการรับบท Robotman ในชีรีส์จาก DC เรื่อง Titans และ Doom Patrol อีกทั้งยังได้เล่นหนัง BlockBuster อย่าง Batgirl อีกด้วย (ภายหลังโดนยกเลิกฉาย เนื่องจากปัญหาภายในของ Warner Bros.)
และในปี 2022 ที่ผ่านมา ในที่สุด เบรนแดน เฟรเซอร์ ก็ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากการรับบทนำในหนังรางวัลอย่าง The Whale ผลงานการกำกับของ Darren Aronofsky ที่ทำให้ เบรนแดน เฟรเซอร์ ได้โชว์ฝีมือการแสดงของเขาอย่างแท้จริง ซึ่งในการฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส เมื่อฉายจบก็ได้รับเสียงปรบมือยาวนานกว่า 6 นาที สื่อเกือบทุกสำนักต่างชื่นชมการแสดงอันยอดเยี่ยมของเบรนแดน จนทำให้เขาถึงกับหลั่งน้ำตาเลยทีเดียว
ตัวเขาได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายมากมาย จากหลายเวที (รวมถึงลูกโลกทองคำ แต่เขาปฎิเสธจะเข้าร่วมงาน) แถมเขายังเป็นตัวเต็งในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์อีกด้วย ซึ่งเราก็หวังเป็นอย่างมากว่า เบรนแดน เฟรเซอร์ จะสามารถชนะรางวัล และพาเขากลับมายังจุดสูงสุดในอาชีพการแสดงอีกครั้ง มอบความสุขและความบันเทิงให้กับเรา เหมือนอย่างที่เขาเคยทำได้เมื่อ 20 ปีก่อนนั่นเอง
........................................................
ผู้เขียน : นันทิภาคย์ กิตติคุณปกรณ์
ที่มา