MENU

คุณภาพคับแก้ว! ‘A24’ ค่ายหนังอินดี้ที่ปังสุดๆ

 22 เม.ย. 2566 00:00

หากใครเป็นคอหนังนอกกระแส เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักค่าย A24 กันอย่างแน่นอน จากค่ายหนังเล็ก ๆ ที่ก่อตั้งในปี 2012 โดยชาย 3 คน นาม Daniel Katz , David Fenkel และ John Hodges ทำทุกอย่างเพื่อพลักดันผลงานคุณภาพให้ออกมาสู่ผู้ชม ทั้งขั้นตอนการผลิตหนัง ออกเงินทุน เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย หรือไปร่วมทุนกับสตูดิโออื่น ๆ จนจนปัจจุบัน A24 ก็กลายเป็นค่ายที่ได้การยอมรับเป็นวงกว้าง ถึงคุณภาพและความสร้างสรรค์ วันนี้เราจึงจะนำ 5 เหตุผลที่ทำให้ A24 เป็นค่ายหนังอินดี้ในใจหลาย ๆ คน

1. สร้างหนัง Original idea อยู่เสมอ


ท่ามกลางกระแสของหนังบล็อกบลัสเตอร์ หนังดัดแปลงจากนิยาย คอมิค เกม ผลงานรีเมกต่าง ๆ นานา หนังภาคต่อ หรือหนังที่หวังปั้นเป็นแฟรนไชส์แบบในปัจจุบัน ก็ทำให้หลายคนเกือบลืมไปแล้วว่าภาพยนตร์นั้นก็คือศิลปะอย่างหนึ่ง ที่ต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ หรือนำเสนอออกมาให้มีความน่าสนใจไม่จำเจ


ซึ่งค่าย A24 ก็ไม่ตามเทรนด์เหล่านั้น พวกเขามุ่งมั่นที่จะผลิตหนังที่เป็น Original idea อยู่เสมอจนกลายเป็นคติประจำค่ายไปแล้วก็ว่าได้ พวกเขาไม่เคยทำหนังภาคต่อหรือหนังขยายแฟรนไชรส์ โดยมีตั้งแต่หนังดูง่ายอย่าง The Florida Project , Uncut Gems , Minari หรือ Lady Bird ไปจนถึงระดับที่ต้องตีความอย่าง Midsommar , The Lighthouse , Under the Skin หรือ Enemy


แต่ทุกผลงานก็ล้วนมีไอเดียที่สดใหม่มีเรื่องราวที่ผู้ชมไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งมันได้มอบประสบการณ์พิเศษในการดูครั้งแรกนั่นเอง


A24 ยังมอบอิสระแก่เหล่าผู้สร้างหนังอย่างเต็มที่ พวกเขาไม่มีการฉายรอบพิเศษภายใน หรือการเข้าไปแทรกแซงระหว่างการทำหนัง แต่พวกเขาเชื่อมั่นในฝีมือของทีมงานทุกคนอย่างแท้จริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาคิดถูก


2. ไม่ได้ดีแค่อินดี้ แต่ยังเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ


หนังของ A24 ไม่เพียงแต่มีความอินดี้เอาใจวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังการันตีคุณภาพด้วยการชนะรางวัลทั้งบนเวทีน้อยใหญ่มาแล้วมากมาย อย่างล่าสุดในงาน Oscar ที่ผ่านมา ค่าย A24 ก็คว้ารางวัลไปถึง 9 ตัว หนังอย่าง Everything Everywhere All at Once ก็ทำลายสถิติกวาดรางวัลจากเวทีต่าง ๆ รวมกัน ได้มากกว่าหนัง The Lord of the Rings ไตรภาคเสียอีก


เพราะการทำหนังแต่ละเรื่องของ A24 นั่นถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี ทำให้งบประมาณที่ลงไปถูกใช้อย่างคุ้มค่า ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาเหมือนหนังบล็อกบัสเตอร์ในปัจจุบัน ที่ลงทุนไปมหาศาลแต่กลับมีข้อบกพร่องมากมาย หนังแฟนตาซีเหนือจินตนาการอย่าง THE GREEN KNIGHT ก็ใช้ทุนสร้างไปเพียง 15 ล้านเหรียญ หรือหนังที่ใช้ทุนสร้างมากที่สุดของค่ายอย่าง Beau Is Afraid ก็ใช้ทุนไปเพียง 55 ล้านเหรียญเท่านั้น


ไม่เพียงแต่วงการจอเงินเท่านั้น A24 ยังมีการร่วมทุนกับสตูดิโออื่น ๆ เพื่อผลิตซีรีส์คุณภาพออกมามากมาย เช่น ร่วมทุนกับ HBO ในผลงานอย่าง Euphoria , Irma Vep และ The Sympathizer ร่วมงานกับ Netflix อย่าง Beef และร่วมงานกับช่อง PEACOCK อย่าง Would It Kill You To Laugh? ที่ก็ล้วนเป็นงานคุณภาพสูงทั้งสิ้น


3. ปั้นนักแสดงและผู้กำกับมากฝีมือหลายคน


เหล่านักแสดงและผู้กำกับมากฝีมือหลาย ๆ คนในวงการ ไม่ว่าจะรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ก็มักจะผ่านการสร้างหรือการแสดงในหนังนอกกระแสมาแล้วทั้งสิ้น และค่ายหนังที่ขึ้นชื่อเรื่องเปิดโอกาสให้คนตัวเล็ก ๆ ในวงการได้โชว์ศักยภาพก็คือค่ายหนังอย่าง A24 นั่นเอง ที่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ค่ายนี้ได้ปั้นคนในวงการมาแล้วหลายคน


ในส่วนของผู้กำกับเช่น Robert Eggers ที่โด่งดังจาก The Witch ในปี 2015 หนังสยองขวัญลี้ลับ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศชวนพิศวงไม่น่าไว้วางใจ และคาดเดาอะไรไม่ได้เลย ซึ่งตัวหนังก็ได้รางวัลและคำชื่นชมมากมายจนชื่อ Robert Eggers กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง มีผลงานอื่น ๆ ตามมาทั้ง The Lighthouse , The Northman และ Nosferatu เวอร์ชั่นรีเมค


Ari Aster ก็เป็นอีกชื่อที่คอหนังสยองขวัญทุกคนรู้จัก เขาเริ่มจากการทำหนังสั้นมาตั้งแต่ปี 2008 ก่อนที่ A24 จะให้โอกาสเขาได้ทำหนังยาว ในผลงานแจ้งเกิดอย่าง Hereditary ปี 2018 หนังสยองขวัญรสชาติใหม่ที่ไม่เน้น Jumpscare แต่เต็มไปด้วยภาพอันน่าสยดสยองและดราม่าครอบครัวที่เข้มข้น ก่อนที่ปีถัดมาเขาจะมีผลงานแหวกขนบอีกครั้งอย่าง Midsommar กับหนังสยองขวัญกลางวันแสก ๆ ที่ทำคนดูขนลุกได้อีกครั้ง


หรือ Greta Gerwig ผู้กำกับสาวมากฝีมือที่เขาวงการในฐานะนักแสดง ก่อนที่จะมาโด่งดังในฐานะผู้กำกับของหนัง Lady Bird และเวอร์ชั่นรีเมคของ Little Women พัฒนาฝีมือจนได้ร่วมงานกับค่าย Warner Bros.ทำหนังทุนสูงอย่าง Barbie ออกมาชนกับ Oppenheimer ของ Christopher Nolan เลยทีเดียว


ด้านฝั่งนักแสดงเอง ก็มีหลายคนที่โด่งดังมาจากหนังของ A24 และได้กลายเป็นนักแสดงระดับ A-list ไปแล้วในปัจจุบัน เช่น Anya Taylor-Joy จาก The Witch , Brie Larson จาก Room , Timothée Chalamet และ Saoirse Ronan ใน Lady Bird , Florence Pugh ใน Midsommar และอื่น ๆ อีกหลายคน รวมถึงนักแสดงที่กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งก็มีเช่นกันอย่าง Robert Pattinson จาก Good Time และ Brendan Fraser ที่พึ่งคว้าออสการ์ไปหมาด ๆ จาก The Whale


ไม่เพียงเท่านั้น เหล่านักแสดงระดับ A-List หลายคนยังยอมลดค่าตัวลง เพื่อมาพิสูจน์ฝีมือการแสดงในหนังของ A24 อีกด้วย เช่น Joaquin Phoenix ใน Beau Is Afraid , Oscar Isaac ใน Ex Machina , Colin Farrell ใน AFTER YANG หรือ Scarlett Johansson ใน Under the Skin นี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม หนังส่วนใหญ่ของ A24 จึงเปี่ยมไปด้วยคุณภาพนั่นเอง


4. หนังหนึ่งเรื่องแต่มีหลายแนว


ผลงานของ A24 เกือบทุกเรื่องจะเป็นการผสมผสาน Genre ของหนังหลาย ๆ แนวเอาไว้ด้วยกัน เพื่อให้หนังมีความสดใหม่อยู่เสมอ เช่น Hereditary ที่เป็นการผสมระหว่างหนังสยองขวัญแนวจิตวิทยาและหนังดราม่าครอบครัว ก่อนที่ช่วงท้าย ๆ เรื่องจะเฉลยว่าเป็นหนังแนวลัทธิบูชายัญ , Everything Everywhere All at Once ก็เป็นได้ทั้ง หนังไซไฟสุดล้ำ หนังแอ็คชั่นสุดมันส์ และหนังดราม่าครอบครัวที่ทำคนดูเสียน้ำตาได้ง่าย โดยทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกผสมอย่างลงตัว จนสามารถคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์มาได้


ซีรีส์อย่าง Euphoria ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กมัธยมไฮสคูล มีปัญหาวัยรุ่นทั่วไปอย่างการเข้าสังคม การคบเพื่อน คบแฟน ยาเสพติด การพิสูจน์ตัวเอง แต่ผู้สร้างก็สามารถบิดวิธีการเล่าให้ออกมาเข้มข้น มีงานสร้างที่ยิ่งใหญ่เหนือซีรีส์แนวเดียวกันไปหลายขุม และมีการแสดงชนิดระเบิดพลังจริงจังไม่แพ้หนังดราม่าเลยทีเดียว


หรือหลายครั้งที่พวกเขาหยิบเอาเรื่องราวคลาสสิค หรือพล็อตเดิม ๆ ที่ถูกเล่ามาเป็นร้อยปี มาทำใหม่จนสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับผู้ชมมาแล้ว เช่นใน THE GREEN KNIGHT ที่เป็นเรื่องราวการผจญภัยของเซอร์กาเวน หลานของพระเจ้าอาร์เทอร์ เรื่องราวคลาสสิคของอังกฤษที่ถูกเล่ามาแล้วหลายครั้ง แต่ผู้กำกับอย่าง David Lowery ก็มีวิธีการที่ทำให้หนังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้


องค์ประกอบเหล่านี้เอง จึงทำให้ทุก ๆ ครั้งที่ A24 ปล่อยผลงานใหม่ ๆ ออกมา เหล่าแฟนหนังทั่วโลกจึงตื่นเต้นได้เสมอ


5. สร้างแบรนด์ให้ทุกคนได้รู้จัก


นอกจากคุณภาพในตัวผลงานแล้ว อีกเหตุผลที่ใคร ๆ ก็รู้จักหนังค่ายนี้ ก็มาจากโลโก้ที่มักปรากฏให้เห็นก่อนหนังฉายเสมอ คำว่า “A24”มีที่มาจากการที่หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง Daniel Katz เขากำลังขับรถอยู่บนถนนเส้นหนึ่งที่มีชื่อว่า Autostrada A24 ประเทศอิตาลี ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจจะก่อตั้งค่ายหนังนี้ขึ้นมา เขาจึงนำคำว่า “A24”นี้มาก่อตั้งเป็นชื่อบริษัทนั่นเอง


แม้จะฟังดู Random มาก ๆ แต่มันกลับได้ผลสุด ๆ เพียงอักษรง่าย ๆ 3 ตัว มันได้ทำให้คอหนังทั่วโลกจดจำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้พวกเขาก็มักตัดตัวอย่างหนังออกมาได้น่าสนใจเสมอ และก็มีวิธีการโปรโมทหนังได้โดนใจวัยรุ่น เน้นไปที่สื่อโซเชียลและกระแสปากต่อปาก มากกว่าการทุ่มงบโปรโมทเหมือนค่ายหนังยักษ์ใหญ่


อีกสิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ คือเหล่าสินค้าต่าง ๆ ที่มีแบรนด์ A24 มักมีความต้องการสูงมากในตลาดเมืองนอก ไม่ว่าจะเพราะหนังดังหรือความเท่ที่ได้ครอบครองก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด พวกเขาก็จะขายหมดในเวลาอันสั้นเสมอ ไม่ต่างจากแบรนด์ดังอย่าง Supreme เลยทีเดียว เช่น พวกกุญแจ หมวก เสื้อแจ็คเก็ต หนังสืออาร์ตบุ๊ค หรือแม้แต่ก้อนหินพร้อมลูกตาจากหนัง Everything Everywhere All at Once ที่ขายในราคากว่า 1,200 บาท ก็ยังขายได้


การมาถึงของ A24 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับฮอลลีวูด ให้หันมาสนในหนังนอกกระแสมากขึ้น ทำให้วัฒนธรรมการดูหนังกลับมาเป็นปกติ ในยุคที่ผู้คนมักตีตั๋วไปดูแต่หนังฟอร์มยักษ์ และยังเป็นข้อพิสูน์อีกว่า หนังที่ดีนั้นมาจากไอเดียที่ดี และวิธีการนำเสนอที่สร้างสรรค์

.......................................................

ผู้เขียน : นันทิภาคย์ กิตติคุณปกรณ์